แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประกันภัยข้อ2.1ข้อ2.2และข้อ2.3กำหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่จำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยไว้แต่ในข้อ2.13.4ระบุว่าการประกันภัยตามข้อ2.1ข้อ2.2และข้อ2.3ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้ลากจูงหรือผลักดันเว้นแต่รถที่ถูกลากจูงหรือถูกผลักดันได้ประกันภัยไว้กับจำเลยด้วยเป็นข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยตามสัญญาประกันภัยเมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์โดยอาศัยสัญญาประกันภัยดังกล่าวและเหตุที่เกิดขึ้นเป็นกรณีที่จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยนั้นแล้วจำเลยก็ย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน 1 ท-1405 กรุงเทพมหานคร ไว้จากนายสกล พงศ์ธรพิสุทธิ์ส่วนจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุก คันหมายเลขทะเบียน 80-5008 สระบุรี และรถพ่วง คันหมายเลขทะเบียน 80-5054สระบุรี เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2532 นายเพียร แสนก่ำ ขับรถยนต์แท็กซี่คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ดังกล่าวไปตามถนนดินแดงจากสี่แยกโบสถ์แม่พระฟาติมามุ่งหน้าไปทางด่วนดินแดง โดยขับในช่องเดินรถด้านขวาสุด ขณะนั้นมีนายนิด สิงห์เถื่อน ขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ดังกล่าวข้างต้นตามหลังรถยนต์แท็กซี่คันนายเพียรขับไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อถึงบริเวณใกล้สะพานลอยคนข้ามถนนบริเวณโรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์นายนิดได้เปลี่ยนช่องเดินรถโดยกะทันหัน เป็นเหตุให้รถพ่วงคันดังกล่าวเหวี่ยงเข้าชนรถยนต์แท็กซี่คันที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหาย โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน120,000 บาท ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์แท็กซี่ดังกล่าวแล้วโจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยในการเรียกร้องให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันดังกล่าวชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินไปจนถึงวันฟ้องจำนวน 10,700 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 130,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตามสัญญาประกันภัยห้ามนำรถยนต์ที่เอาประกันภัยลากจูงรถพ่วง เว้นแต่รถพ่วงที่ถูกลากจูงจะเอาประกันภัยไว้กับจำเลย บริษัทประยูรวิศวการช่าง จำกัด แอบนำรถยนต์บรรทุกคันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยไปลากจูงรถพ่วงที่ไม่ได้ประกันภัยไว้กับจำเลย เป็นการผิดสัญญาประกันภัยอย่างร้ายแรงจำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยทำสัญญารับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-5008 สระบุรี ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3ขณะเกิดเหตุคดีนี้รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวใช้ลากจูงรถพ่วงซึ่งไม่ได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อ 3.2 วรรคสอง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาสั่งรับข้อเดียวว่า จำเลยจะยกเอาข้อยกเว้นความรับผิดตามสัญญาประกันภัยมาปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้หรือไม่ เห็นว่าสัญญาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2.1ข้อ 2.2 และข้อ 2.3 กำหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่จำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้รับประกันภัยไว้ แต่ในข้อ 2.13.4 ระบุว่า การประกันภัยตามข้อ2.1 ข้อ 2.2 และข้อ 2.3 ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้ลากจูงหรือผลักดัน เว้นแต่รถที่ถูกลากจูงหรือถูกผลักดันได้ประกันภัยไว้กับจำเลยด้วย เป็นข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยตามสัญญาประกันภัย คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-5008 สระบุรี โดยอาศัยสัญญาประกันภัยดังกล่าว เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นเป็นกรณีที่จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยตามสัญญาประกันภัยนั้นแล้ว จำเลยก็ย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน