แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข.ผู้รับมอบอำนาจช่วงของโจทก์เบิกความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายประเทศอังกฤษ โจทก์มอบอำนาจให้ส.ฟ้องคดีนี้ได้ในประเทศไทยกับให้อำนาจส. มอบอำนาจช่วงได้ และ ส. มอบอำนาจให้ทนายฟ้องคดีนี้แทน โดยโจทก์มีเอกสารที่มีข้อความตรงตามที่ ช. พยานเบิกความทุกประการซึ่งเอกสารฉบับนี้มีโนตารีปับลิกและเลขานุการสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนลงลายมือชื่อรับรอง จำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำเป็นต้องนำเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนหรือผู้ทำเอกสารดังกล่าวมาสืบประกอบ โจทก์และจำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เหลวชนิดเดียวกัน เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนหรือปริมาณและราคาของทรัพย์สินที่ซื้อขายกันแน่นอน โดยไม่ต้องหมาย หรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือกเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนอีก ทั้งสินค้าดังกล่าวได้บรรทุกมาในเรือลำเดียวกัน เที่ยวเดียวกัน และบรรจุในแท็งก์เดียวกันด้วย ถือว่าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 เมื่อจำเลยรับสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นของโจทก์เกินไปจำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยฎีกาเลย การที่จำเลยฎีกาเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใดฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยเอาไปจากโจทก์โดยละเมิด โจทก์จึงมีสิทธิ เรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440 ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์แล้ว การที่จำเลยจะต้องคืนสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนโดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้องเดิมเสียก่อนจึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และ179 วรรคสุดท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศอังกฤษ มีสำนักงานสาขาดำเนินกิจการในประเทศไทยโจทก์ได้มอบอำนาจให้หม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณ มีอำนาจดำเนินคดีทั้งปวง รวมทั้งมอบอำนาจช่วงได้ด้วย หม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณได้มอบอำนาจช่วงให้นายขจายดำเนินคดีนี้แทนเมื่อปลายเดือนกันยายน2529 โจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เอ็น บิวธานอล จากบริษัทเชลล์น ประเทศอังกฤษ จำนวน 15.50 เมตริกตัน ในราคาเมตริกตันละ 605 เหรียญสหรัฐอเมริกา รวมเป็นเงิน 95,287.50เหรียญสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทอูมูระไคอันโซไกเป็นผู้รับขนส่งทางทะเล จากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากสินค้าโจทก์แล้วยังมีสินค้าชนิดเดียวกันที่ผู้รับขนส่งจะต้องส่งมอบแก่จำเลยเป็นจำนวน 104.70 เมตริกตัน รวมอยู่ด้วยเมื่อเรือมาถึงประเทศไทยเจ้าหน้าที่เรือได้ขนถ่ายสินค้าแก่จำเลยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน2529 เป็นจำนวน 125.965 เมตริกตัน โดยมีสินค้าซึ่งเป็นส่วนของโจทก์รวมอยู่ด้วยเกินไป 21.265 เมตริกตัน คิดเป็นเวลา13,288.82 เหรียญสหรัฐอเมริกา จึงทำให้โจทก์ได้รับสินค้าไม่ครบตามที่สั่ง โจทก์จึงได้เรียกร้องให้จำเลยคืนสินค้าให้แก่โจทก์ หรือให้ชำระราคาแทน ขอให้บังคับจำเลยคืนสินค้าเคมีภัณฑ์เอ็น บิวธานอลจำนวน 21.265 เมตริกตัน หรือชำระราคาจำนวน 339,795.12 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศอังกฤษ ไม่ได้มอบอำนาจให้หม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณ ทั้งไม่ได้มอบอำนาจช่วงให้นายขจายดำเนินคดีนี้แทนด้วย หนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงปลอมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2529 บริษัทเลนโซ่เคมี จำกัด ทำใบสั่งซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เอ็น บิวธานอล จากบริษัทซีลานิสเคมีคอล จำกัดในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 104.70 เมตริกตัน ในราคาเมตริกตันละ 570 เหรียญสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทเลนโซ่เคมี จำกัดซื้อในระบบ ซี.ไอ.เอฟ. ต่อมาบริษัทเลนโซ่เคมี จำกัดได้โอนสิทธิการซื้อสินค้าดังกล่าวมาเป็นของจำเลย สินค้าที่เกินจำนวนดังกล่าวเป็นสินค้าที่บริษัทซีลานิสเคมีคอล จำกัด ส่งเกินมาเป็นหน้าที่ของบริษัทซีลานิสเคมีคอล จำกัด จะต้องเรียกให้จำเลยชำระราคาเพิ่มเติม สินค้าที่โจทก์และจำเลยเป็นผู้นำเข้ามาเป็นเคมีเหลืองโดยบรรจุรวมอยู่ในแท็งค์เดียวกันของบริษัทเรือรับขนส่งสินค้า ยังมิได้กำหนดไว้แน่นอนว่าส่วนใดเป็นของผู้ซื้อรายใดกรรมสิทธิ์ในสินค้าดังกล่าวจึงยังไม่โอนมายังผู้ซื้อคืนโจทก์หรือจำเลยจนกว่าจะได้หมายชั่ง ตวง วัด คัดเลือกหรือทำโดยวิธีอื่นเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนเสียก่อน หากศาลฟังว่าทรัพย์สินดังกล่าวมิใช่ของบริษัทซิลานิสเคมีคอล จำกัด ทรัพย์สินนั้นก็เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเชลล์ฯ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์เพราะบริษัทเรือผู้รับขนย้ายไม่ได้ส่งมอบให้แก่โจทก์ หากศาลฟังว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินหรือชำระราคาแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยขอฟ้องแย้งว่าสินค้าส่วนที่เกินมานั้นจำเลยมีหน้าที่เสียภาษีอากรสินค้าขาเข้าเต็มจำนวนตามวิธีการของกรมศุลกากรโดยโจทก์มิได้เสียแต่อย่างใดนอกจากนี้จำเลยยังเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆรวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงิน 82,631.82 บาท ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องหากศาลฟังว่าสินค้าดังกล่าวเป็นของโจทก์ก็ให้โจทก์ชำระเงิน82,631.22 บาท แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการฟ้องแย้งล่วงหน้าและมีเงื่อนไข ไม่อาจรวมกับฟ้องเดิมได้จึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง
ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 339,795.12 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายขจายผู้รับมอบอำนาจช่วงของโจทก์ให้ฟ้องคดีนี้เบิกความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายประเทศอังกฤษ โจทก์ได้มอบอำนาจให้หม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณฟ้องคดีนี้ได้สำหรับในประเทศไทย และให้อำนาจหม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณมอบอำนาจช่วงได้และหม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณได้มอบอำนาจช่วงให้พยานฟ้องคดีนี้แทน โจทก์มีเอกสารหมาย จ.1, จ.2 และ จ.3ซึ่งเป็นหนังสือที่มีข้อความว่าโจทก์เป็นบริษัทจำกัดตามกฎหมายประเทศอังกฤษ มีโนตารีปับลิกและเลขานุการสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนลงลายมือชื่อรับรอง และโจทก์ได้มอบอำนาจให้หม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณฟ้องคดี กับหม่อมราชวงศ์สฤษดิคุณได้มอบอำนาจช่วงให้พยานฟ้องคดีนี้แทนตรงกับคำเบิกความทุกประการจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นกรณีจึงฟังได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน หรือผู้ทำเอกสารดังกล่าวมาสืบประกอบอีก
ที่จำเลยฎีกาว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างก็สั่งซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เอ็น บิวธานอล ซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์เหลวจากบริษัทซีลานิสเคมีคอล จำกัด และบริษัทซีลานิสเคมีคอล จำกัด ได้ส่งสินค้าของโจทก์และของจำเลยมาพร้อมกันโดยบรรจุมาในแท็งก์เดียวกันก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่าสินค้าส่วนใดเป็นของโจทก์ ที่ใบตราส่งสินค้าของโจทก์ระบุจำนวนสินค้าของโจทก์ก็เป็นเพียงวิธีการและขั้นตอนของผู้รับขนเพื่อสะดวกในการส่งสินค้าปลายทางเท่านั้น ยังไม่สามารถถือว่าเป็นการระบุตัวทรัพย์และราคาแน่นอน สินค้าพิพาทยังไม่ได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในขณะที่ผู้รับขนส่งขนถ่ายสินค้าให้แก่จำเลยโจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิเรียกสินค้าเคมีภัณฑ์จำนวน21.265 เมตริกตันที่จำเลยได้ส่งเกินไปคืนนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เหลวชนิดเดียวกัน เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนหรือปริมาณและราคาของทรัพย์สินที่ซื้อขายกันแน่นอนโดยไม่ต้องหมายหรือนับ ชั่ง ตวง วัดหรือคัดเลือก เพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนอีก ทั้งสินค้าดังกล่าวได้บรรทุกมาในเรือลำเดียวกัน เที่ยวเดียวกัน และบรรจุในแท็งก์เดียวกันด้วยถือว่าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว ตามมาตรา 458 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรณีมิอาจปรับด้วยมาตรา 460 ตามที่จำเลยฎีกาเมื่อจำเลยรับสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นของโจทก์เกินไปจำนวน 21.265 เมตริกตัน จำเลยจะต้องคืนให้แก่โจทก์ โจทก์เป็นผู้เสียหายมีสิทธิเรียกสินค้าเคมีภัณฑ์ที่จำเลยรับเกินไปคืนจากจำเลยได้
ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้ขายสินค้าพิพาทไปหมดแล้วจึงต้องใช้ราคาแทนจำนวน 339,795.12 บาทนั้นเกี่ยวกับราคาสินค้าที่โจทก์เรียก 605 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อเมตริกตันจำเลยได้นำสืบแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยได้สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวในราคา570 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อเมตริกตัน ดังนั้นเมื่อจำเลยรับสินค้าไว้โดยสุจริตหากจะต้องชำระราคาสินค้าพิพาทก็ควรไม่เกิน 570เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อเมตริกตัน นอกจากนี้ตามท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือชำระราคาแทน สินค้าพิพาทเป็นสังกมะทรัพย์หากจำเลยต้องคืนสินค้าให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา จำเลยก็ชอบที่จะนำสินค้าประเภทและชนิดเดียวกันมีปริมาณเท่ากันใช้แทนได้เห็นว่า ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยฎีกาดังกล่าวเลยการที่จำเลยฎีกาเรื่องดังกล่าวโดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้รับสินค้ามาโดยสุจริต จึงไม่ได้อยู่ในฐานะลูกหนี้ผู้ผิดนัดต่อโจทก์ จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าพิพาทจำเลยเอาไปจากโจทก์โดยละเมิด โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440เมื่อโจทก์เรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จำเลยต้องชำระราคาสินค้าพิพาทนับแต่วันฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยจากราคาสินค้าพิพาทนับจากวันฟ้องจึงชอบแล้วฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องแย้งของจำเลยที่เกี่ยวกับค่าภาษีและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าพิพาทเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้จำเลยนั้น เห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆแก่จำเลย ก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์แล้วการที่จำเลยจะต้องคืนสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ยังไม่เป็นที่แน่นอนโดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้องเดิมเสียก่อนฟ้องแย้งของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย
พิพากษายืน