แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลฎีกาได้พิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเรื่องอำนาจฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งตามฟ้องหรือไม่แต่ศาลชั้นต้นได้สืบพยานในเรื่องดังกล่าวแล้วยังได้สืบพยานในประเด็นอื่นจนสิ้นกระแสความอีกด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณานอกเหนือคำพิพากษาศาลฎีกา การสืบพยานประเด็นอื่นของศาลชั้นต้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นโดยชอบ ฎีกาของโจทก์ข้อที่ว่าการที่ศาลแพ่งสืบพยานประเด็นอื่นด้วยเท่ากับศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) แล้ว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าภาระผูกพันจำนวน 303,479.76 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามสัญญาซื้อขายไม้ซุงที่จำเลยที่ 1 ซื้อจากโจทก์ทั้งสองโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่ง เพราะจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นในเรื่องเขตอำนาจศาล แล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนานอกเขตอำนาจศาลชั้นต้นกรณีมิใช่ว่าศาลแพ่งอนุญาตให้ฟ้องได้โดยปริยาย หรือโจทก์ขอให้ศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับฟ้องแต่อย่างใด จึงให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งที่กรุงเทพมหานครส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 2 ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครนั้น มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ และมิใช่เป็นกรณีที่ศาลแพ่งอนุญาตให้ฟ้องโดยปริยายหรือใช้ดุลพินิจรับพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 14(4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลชั้นต้น พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างว่าเคยติดต่อค้าขายกับจำเลยที่ 1ที่บ้านเลขที่ 195 ถนนข้าวสาร แขวงชนะสงคราม เขตพระนครกรุงเทพมหานคร อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 อีกแห่งหนึ่งจึงสมควรสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงในปัญหานี้ต่อไปให้แจ้งชัดก่อนพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิได้ใช้บ้านในกรุงเทพมหานครเป็นภูมิลำเนาในการประกอบการค้า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ติดต่อซื้อขายไม้พิพาทกับจำเลยที่ 1 ที่ห้างวังสุวรรณ เลขที่ 195 ถนนข้าวสาร แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
โจทก์ทั้งสองฎีกาข้อต่อไปว่า เมื่อศาลฎีกาได้ย้อนสำนวนให้ศาลแพ่งสืบพยานเรื่องอำนาจฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาในการประกอบธุรกิจซื้อขายไม้พิพาทอีกแห่งหนึ่งตามฟ้องที่กรุงเทพมหานครหรือไม่ แต่ศาลแพ่งได้สืบพยานคู่ความในเรื่องอำนาจฟ้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว และยังได้สืบพยานในประเด็นอื่นจนสิ้นกระแสความอีกด้วยเท่ากับศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีนี้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 14(4) แล้วนั้น เห็นว่า ศาลแพ่งได้สั่งให้สืบพยานประเด็นอื่นนอกจากปัญหาเรื่องภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลยที่ 1ตามคำพิพากษาศาลฎีกาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่9 กรกฎาคม 2524 จริง แต่เป็นเรื่องที่ศาลแพ่งดำเนินกระบวนพิจารณานอกเหนือคำพิพากษาศาลฎีกา การสืบพยานประเด็นอื่นของศาลชั้นต้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นโดยชอบ ฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อนี้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.