แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือกับโจทก์ มีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ต้องดำเนินกิจการต่อเนื่องและไม่ให้ผู้อื่นเช่าช่วง จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงเข้าดำเนินกิจการแทน และบรรยายฟ้องในตอนท้ายว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าในนามของแพปลาสินธ์ไพโรจน์ ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินกิจการท่าเทียบเรือดังกล่าวเพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ชำระค่าเช่าที่ค้างชำระ ตามคำฟ้องจึงสรุปได้ว่าโจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์และจำเลยที่ 2เป็นผู้ดำเนินกิจการแต่ผู้เดียว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงคุระบุรี กับโจทก์มีกำหนด 5 ปี โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1จะต้องดำเนินกิจการต่อเนื่องไม่เอาทรัพย์สินที่เช่าหรือสิทธิการเช่าไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยให้จำเลยที่ 2ดำเนินกิจการแทนและค้างชำระค่าเช่า ในการทำสัญญาเช่าดังกล่าวจำเลยที่ 1 กระทำในนามแพปลาสินธ์ไพโรจน์ ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็น ผู้ดำเนินกิจการท่าเทียบเรือแต่เพียงผู้เดียวถือว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 แสดงออกเป็นตัวแทนของตน จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดในค่าเช่าที่ค้างชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี เพราะจำเลยที่ 2 ถูกฟ้องล้มละลาย และศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายในตอนแรกว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงคุระบุรีกับโจทก์มีกำหนดเวลาเช่า 5 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 จะต้องดำเนินกิจการท่าเทียบเรือต่อเนื่องกันไปและจะไม่ให้ผู้อื่นเช่าช่วงเมื่อทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ดำเนินกิจการท่าเทียบเรือตามสัญญากลับให้จำเลยที่ 2 เข้าดำเนินกิจการท่าเทียบเรือแทนและไม่ดำเนินการให้ต่อเนื่องโดยเอาไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง กับผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าปีที่ 4 แก่โจทก์ และบรรยายฟ้องในตอนสุดท้ายว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าในนามของแพปลาสินธ์ไพโรจน์ ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินกิจการท่าเทียบเรือดังกล่าวเพียงผู้เดียว ภายหลังจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับโจทก์จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการท่าเทียบเรือแต่อย่างใดถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 แสดงออกเป็นตัวแทนของตนจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้างให้แก่โจทก์ ดังนี้ตามคำฟ้องจึงสรุปได้ว่า จำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงกับโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้เข้าดำเนินกิจการท่าเทียบเรือแต่ผู้เดียวหลังจากทำสัญญาเป็นต้นมาโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องด้วย จึงเท่ากับโจทก์ทราบแล้วว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้องฟังได้ดังกล่าวมา จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงร่วมกับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน