คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6028/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ยกข้อต่อสู้เรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความเป็นประเด็นไว้ในคำให้การ แม้จำเลยที่ 3 ให้การไม่ชัดแจ้งทำให้คำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ และจำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ว่า พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงินฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญดังเช่นที่จำเลยที่ 1 ให้การไว้ก็ตาม แต่คดีนี้มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ป.วิ.พ. มาตรา 59 บัญญัติให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน กระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ย่อมถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะมิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่นๆ ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) จำเลยที่ 3 จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าเช็คธนาคาร ธ. เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดให้แก่บริษัท ง. ตามสัญญาขายลดเช็ค จำเลยที่ 1 ให้การว่าได้ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คเสร็จสิ้นแล้ว เช็คธนาคาร ธ. เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ประเภทอื่น แต่พยานจำเลยที่ 1 คงมีเพียง พ. ทนายจำเลยที่ 1 ปากเดียวเบิกความว่าเช็คธนาคาร ธ. เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัท ง. หลังจากมีการเดินบัญชีตามสัญญาขายลดเช็คแล้วเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบปฏิเสธว่าเช็คธนาคาร ธ. เป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ประเภทอื่นดังที่ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การทั้งไม่ปรากฏว่าบริษัท ง. กับจำเลยที่ 1 มีหนี้ประเภทอื่นที่ต้องชำระต่อกันอีก ดังนั้น แม้หากจะฟังข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า เช็คธนาคาร ธ. ไม่ใช่เช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลด แต่เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายภายหลังเพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัท ง. ก็ตาม ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคาร ธ. เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค และหนี้เงินต้นจำนวน 185,908.46 บาท ที่ค้างชำระอยู่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2542 เป็นหนี้ค้างชำระตามสัญญาขายลดเช็คตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเองซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่กฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 193/30 กรณีไม่อาจนำอายุความ 1 ปี ซึ่งเป็นกำหนดอายุความที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คมาบังคับแก่คดีดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อ้างมาในฎีกาได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
แม้อำนาจในการสั่งรับหรือไม่รับคำโต้แย้งของคู่ความตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ไว้พิจารณาจะเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 264 วรรคสอง แต่อำนาจในการวินิจฉัยว่าคำโต้แย้งของคู่ความเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่นั้นย่อมเป็นอำนาจของศาลยุติธรรมตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าเมื่อคู่ความมีคำโต้แย้งอย่างไรแล้วศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยทุกกรณีไม่ คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การมีใจความสำคัญเพียงว่า พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงินฯ เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจหน้าที่ของรัฐสั่งปิดกิจการและขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงินได้โดยไม่มีเหตุสมควรและกำหนดราคาขายได้ตามอำเภอใจ ทำให้ขายสินทรัพย์ได้ในราคาต่ำโดยที่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินยังคงเป็นหนี้เท่าเดิม เป็นการจำกัดและลิดรอนสิทธิของประชาชนไม่ให้เป็นไปโดยอิสระตามกลไกตลาด ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน คำโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่ชัดแจ้งว่าบทบัญญัติแห่ง พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงินฯ มาตราใดที่ให้อำนาจหน้าที่ของรัฐสั่งปิดกิจการและขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงินได้ โดยไม่มีเหตุสมควรและกำหนดราคาขายได้ตามอำเภอใจ และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตราใดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 จึงไม่อาจพิจารณาได้ว่าเป็นกรณีที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 การที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งคำโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง จึงชอบแล้ว และคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวก็มิใช่เป็นการวินิจฉัยว่าบทบัญญัติของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 318,433.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 185,908.46 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะ เพราะเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐสั่งปิดกิจการและขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงินได้โดยไม่มีเหตุสมควรและกำหนดราคาขายได้ตามอำเภอใจทำให้ขายสินทรัพย์ได้ในราคาต่ำโดยที่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินยังคงเป็นหนี้เท่าเดิม อันเป็นการจำกัดและลิดรอนสิทธิของประชาชนไม่ให้เป็นไปโดยอิสระตามกลไกตลาด ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน การขายสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) ให้แก่โจทก์โดยองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระและค้างชำระเงินตามเช็คเพียง 185,908.46 บาท การฟ้องเรียกเงินตามเช็คมีกำหนดอายุความ 1 ปี จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันดังกล่าว สิทธิเรียกร้องที่โจทก์รับโอนมาจึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนของดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เอกสารเกี่วกับการจดทะเบียนและสัญญาขายสินทรัพย์ที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องเป็นสำเนาเอกสารที่ไม่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับ การมอบอำนาจของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องตามฟ้องมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ และเป็นการผูกมัดถือเอาตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ยอดหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้อง การบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 185,908.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 185,908.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2543 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี จากต้นเงินเดียวกัน นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 ธันวาคม 2543) จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นกองทุนรวมตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2535 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) โดยมีข้อตกลงว่าจะนำเช็คไปขายลดเป็นคราวๆ แต่รวมทุกคราวแล้วต้องไม่เกินวงเงิน 1,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี และยอมให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือต่ำลงโดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ ตามสัญญาขายลดเช็ค จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาค้ำประกัน ต่อมาเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2536 จำนวนเงิน 1,000,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายมอบไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 ตามเช็คและใบคืนเช็ค หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้จนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2542 ปรากฏว่าในวันดังกล่าวจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้เงินต้นค้างชำระแก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) จำนวน 185,908.46 บาท โจทก์เป็นผู้ซื้อและรับโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยทั้งสามมาจากการขายขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน และโจทก์มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องพร้อมกับทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งฎีกาต่อมาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และศาลชั้นต้นต้องส่งคำโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ที่ว่าพระราชกำหนดการปฏิรูประบบการสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ขัดต่อรัฐธรรมนูญไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ แม้จำเลยที่ 3 ให้การไม่ชัดแจ้งทำให้คำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ และจำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ว่าพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ขัดต่อรัฐธรรมนูญดังเช่นที่จำเลยที่ 1 ให้การไว้ก็ตาม แต่คดีนี้มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 บัญญัติให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน กระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ย่อมถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะมิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่นๆ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) จำเลยที่ 3 จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 สำหรับปัญหาข้อแรกที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) ตามสัญญาขายลดเช็คจำเลยที่ 1 ให้การว่าได้ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คเสร็จสิ้นแล้ว เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ประเภทอื่น แต่พยานจำเลยที่ 1 คงมีเพียงนายพัฒนพงศ์ทนายจำเลยที่ 1 ปากเดียวเบิกความว่าเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) หลังจากมีการเดินบัญชีตามสัญญาขายลดเช็คแล้วเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบปฏิเสธว่าเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ประเภทอื่นดังที่ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การทั้งไม่ปรากฏว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) กับจำเลยที่ 1 มีหนี้ประเภทอื่นที่ต้องชำระต่อกันอีก ดังนั้น แม้หากจะฟังข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ไม่ใช่เช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลด แต่เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายภายหลังเพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์วอลล์สตรีท จำกัด (มหาชน) ก็ตาม ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค และหนี้เงินต้นจำนวน 185,908.46 บาท ที่ค้างชำระอยู่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2542 เป็นหนี้ค้างชำระตามสัญญาขายลดเช็คตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่กฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 กรณีไม่อาจนำอายุความ 1 ปี ซึ่งเป็นกำหนดอายุความที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คมาบังคับแก่คดีดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อ้างมาในฎีกาได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนปัญหาข้อหลังที่ว่าศาลชั้นต้นต้องส่งคำโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้อำนาจในการสั่งรับหรือไม่รับคำโต้แย้งของคู่ความตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ไว้พิจารณาจะเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 264 วรรคสอง แต่อำนาจในการวินิจฉัยว่าคำโต้แย้งของคู่ความเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่นั้นย่อมเป็นอำนาจของศาลยุติธรรมตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าเมื่อคู่ความมีคำโต้แย้งอย่างไรแล้วศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยทุกกรณีไม่ โดยเฉพาะการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ต้องเป็นกรณีที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้นด้วย คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การมีใจความสำคัญเพียงว่า พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐสั่งปิดกิจการและขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงินได้โดยไม่มีเหตุสมควรและกำหนดราคาขายได้ตามอำเภอใจ ทำให้ขายสินทรัพย์ได้ในราคาต่ำโดยที่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินยังคงเป็นหนี้เท่าเดิม เป็นการจำกัดและลิดรอนสิทธิของประชาชนไม่ให้เป็นไปโดยอิสระตามกลไกตลาด ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน คำโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่ชัดแจ้งว่าบทบัญญัติแห่งพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตราใดที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐสั่งปิดกิจการและขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงินได้โดยไม่มีเหตุสมควรและกำหนดราคาขายได้ตามอำเภอใจ และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตราใดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 จึงไม่อาจพิจารณาได้ว่าเป็นกรณีที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้นหรือไม่ เป็นคำโต้แย้งที่ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 การที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งคำโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง จึงชอบแล้ว และคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวก็มิใช่เป็นการวินิจฉัยว่าบทบัญญัติของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share