คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ยื้อแย่งไม้กวาดจากผู้เสียหายที่ 2 และเหวี่ยงกันไปมาโดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและส่งเสียงข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และการเหวี่ยงไปมาขณะแย่งไม้กวาด เป็นเหตุให้ข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นกรณีที่ต่อเนื่องกับการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองใช้ของแข็งงัดกุญแจคล้องประตูหลังบ้านอันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ แล้วเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนางสาวอรพรรณ อุ่นจิตติชัย ผู้เสียหายที่ 1 และนายประสงค์ คุณาจิรภรณ์ ผู้เสียหายที่ 2 และร่วมกันลักทรัพย์หลายรายการ รวมราคาทรัพย์ 250,200 บาท ของผู้เสียหายทั้งสองที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานดังกล่าวไปโดยทุจริต ทั้งนี้ในการลักทรัพย์จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้มือผลักและกอดปล้ำผู้เสียหายที่ 2 เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้และให้พ้นจากการจับกุม เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายมีบาดแผลที่ข้อมือขวา ก่อนคดีนี้จำเลยที่ 2 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอาญาตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 553/2537 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 749/2537ให้ลงโทษจำคุกฐานลักทรัพย์ ซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จำเลยที่ 2 พ้นโทษไปแล้วภายในเวลา 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษกลับมากระทำความผิดในคดีนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันอีก ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1039/2541 ของศาลอาญาและคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3146/2540 และ 3147/2540 ของศาลจังหวัดนนทบุรีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 93, 339 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 59,200 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 กับให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1039/2541ของศาลอาญา และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3146/2540 และ 3147/2540 ขอศาลจังหวัดนนทบุรี

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาชิงทรัพย์และจำเลยที่ 1 รับต่อไปด้วยว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อส่วนจำเลยที่ 2 รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)(7)(8) วรรคสาม จำคุก 6 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 9 ปี คำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามและกึ่งหนึ่ง ตามลำดับ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 59,200 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 งัดทำลายกุญแจประตูบ้านเข้าไปลักทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ภายในบ้านอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายทั้งสอง คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ดังฟ้องโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายที่ 2 เบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าผู้เสียหายทั้งสองกลับมาก็ได้พยายามหลบหนีออกจากบ้าน โดยพยายามข้ามรั้วบ้านออกไป แต่ผู้เสียหายที่ 2 ใช้เครื่องชาร์จโทรศัพท์มือถือขว้างไปที่จำเลยที่ 1 ซึ่งกำลังปีนกำแพงทำให้จำเลยที่ 1 ตกลงมา จากนั้น ผู้เสียหายที่ 2 ใช้จานข้าวโยนไปที่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและเสียงข่มขู่ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ปีนกำแพงรั้ว และตกลงไปในคูน้ำด้านนอก ผู้เสียหายที่ 2 วิ่งตามไปโดยถือไม้กวาดออกไปด้วย ผู้เสียหายที่ 2 ใช้ไม้กวาดตีจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จับไม้กวาดและยื้อแย่ง โดยเหวี่ยงกันไปมา พร้อมกันนั้นจำเลยที่ 1 ก็ทำหน้าตาและส่งเสียงข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายที่ 2 เหวี่ยงกันไปมาสักพักหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงผละหนีไป การเหวี่ยงไปมาขณะแย่งไม้กวาด ทำให้ข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บใช้เวลารักษาประมาณ 5 ถึง 6 วัน ข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่ว่า ผู้เสียหายที่ 1 เห็นผู้เสียหายที่ 2 มีเลือดออกที่มือ จึงถามว่าไปถูกอะไร ผู้เสียหายที่ 2 ตอบว่า ระหว่างต่อสู้กับจำเลยที่ 1 มีการแย่งไม้กันและถูกไม้ดังกล่าวบาดมือ พยานหลักฐานของโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื้อแย่งไม้กวาดจากผู้เสียหายที่ 2 และเหวี่ยงกันไปมา โดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและส่งเสียงข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และการเหวี่ยงไปมาขณะแย่งไม้กวาด เป็นเหตุให้ข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นกรณีที่ต่อเนื่องกับการลักทรัพย์ ทั้งนี้เพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share