คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6018/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับพวกชักชวนชาวบ้านให้ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย โดยเรียกค่าบริการและรับเงินจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายซึ่งสมัครไปทำงานดังกล่าวแต่แล้วกลับปล่อยโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายไว้ที่จังหวัดยะลา โดยที่ไม่มีงานในประเทศมาเลเซียที่จะให้ไปทำจริงดังที่ประกาศชักชวน ดังนี้ เท่ากับเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ตอนแรกของคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมาย แต่ตอนหลังคำฟ้องกลับบรรยายว่า จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ได้มีเจตนาและไม่มีความสามารถที่จะติดต่อหาผู้ใดไปทำงาน ดังนี้คำฟ้องตอนหลังของโจทก์เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาจัดหางานการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานฯ พ.ศ.2511 หมายเหตุ วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมาย และจำเลยทั้งสามกับพวกโดยเจตนาทุจริต ร่วมกันหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยโฆษณาบอกกล่าวแก่ประชาชนทั่วไปว่าสามารถจัดส่งประชาชนผู้มาสมัครงานกับจำเลยไปทำงานในประเทศมาเลยเซียได้ผู้มาสมัครไปทำงานจะต้องเสียเงินให้แก่จำเลยกับพวก อันเป็นความเท็จซึ่งความจริงแล้วจำเลยทั้งสามกับพวกไม่มีเจตนาและไม่มีความสามารถจะติดต่อหาผู้ใดไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียแต่อย่างใด และไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้เป็นผู้จัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการอีกทั้งรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถจัดส่งประชาชนไปทำงานในประเทศมาเลเซียได้ โดยการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงพากันไปสมัครทำงานในประเทศมาเลเซียกับจำเลยทั้งสามกับพวก และได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมเป็นเงิน19,000 บาท จำเลยทั้งสามกับพวกได้รับเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91, 341, 343 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย 19,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายทั้งห้ายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 จำคุกคนละ1 เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 จำคุกคนละ1 ปี รวมจำคุกคนละ 1 ปี 1 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 19,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้องโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกับพวกชักชวนชาวบ้านให้ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย รับสมัครคนงานโดยเรียกค่าบริการและรับเงินจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายคนละ1,000 บาทบ้าง 2,000 บาทบ้าง 3,000 บาทบ้าง โดยที่จำเลยที่ 1 ที่ 2กับพวกให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายกับพวกเดินทางไปทำงานแล้วไปปล่อยทิ้งไว้ที่จังหวัดยะลา โดยที่ไม่มีงานในประเทศมาเลเซียที่จะให้ไปทำจริงดังที่ประกาศชักชวน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง
ปัญหาว่า จำเลยทั้งสามจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่นั้นศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์แม้จะได้บรรยายไว้ในตอนแรกว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางาน โดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายก็ตามแต่ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในตอนต่อมากลับกล่าวว่า “จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ได้มีเจตนาและไม่มีความสามารถที่จะติดต่อหาผู้ใดไปทำงาน..”เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาจัดหางานอันถือว่าจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนากระทำความผิดสำหรับกระทงนี้กรณียังไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share