คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3905/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติเนื้อที่ 30 ไร่เศษ โดยเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของจำเลยตาม ส.ค.1 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยเข้าแผ้วถางบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนคลองท่าเรือเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่เศษ โดยจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินตาม ส.ค.1 ของจำเลย และเมื่อมีการตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ที่ดินตาม ส.ค.1 ของจำเลย แต่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยรู้แล้วยังเข้าแผ้วถาง ปลูกต้นมะพร้าว ต้นมะม่วงหิมพานต์ นำเปลือกมะพร้าวไปถมที่ดินและครอบครองตลอดมา เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องคดีนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง เข้าไปปลูกต้นมะพร้าวและต้นมะม่วงหิมพานต์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียสภาพป่าสงวนแห่งชาติจำนวนเนื้อที่ประมาณ ๒๔ ไร่ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๖, ๙, ๑๔, ๓๑ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๔ กฎกระทรวงฉบับที่ ๑ พ.ศ.๒๕๐๗ ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และสั่งให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารออกจากป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ วรรคแรก จำคุก ๓ ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ปรับจำเลย ๑๕,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึ่งลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ วรรคแรก ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีก่อนจำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ ๓๐ ไร่เศษ โดยเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของจำเลย ตาม ส.ค.๑ ที่ตนเองยึดถืออยู่ ไม่เป็นความผิด ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยเข้าแผ้วถางบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนคลองท่าเรือโดยปลูกต้นมะพร้าวและต้นมะม่วงหิมพานต์เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่เศษ จำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินตาม ส.ค.๑ ของจำเลย และเมื่อมีการตรวจสอบแล้วปรากฏว่าที่ดินที่ดินที่จำเลยเข้าแผ้วถางไม่ใช่ที่ดินตาม ส.ค.๑ ของจำเลย แต่เป็นที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยรู้แล้วยังเข้าแผ้วถาง ปลูกต้นมะพร้าว ต้นมะม่วงหิมพานต์ นำเปลือกมะพร้าวไปถมที่ดินและครอบครองตลอดมาเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกับคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ
พิพากษายืน.

Share