แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33(1)ตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฎหมายกำหนดถึง8,540กิโลกรัมเป็นการใช้ทรัพย์ของกลางกระทำผิดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางหลวงและต่อส่วนรวมจึงสมควรให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติทางหลวงพ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
จำเลย ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 จำเลยให้การรับสารภาพไม่ลดโทษให้ คงลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 6,000 บาทให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยและริบรถยนต์บรรทุกของกลาง โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเดือนละครั้ง มีกำหนด 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลย และริบรถยนต์บรรทุกของกลาง โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สมควรไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่ เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษและรอการลงโทษกับทั้งคุมความประพฤติของจำเลยเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนั้น เห็นว่า รถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33(1) ตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฎหมายกำหนดถึง 8,540 กิโลกรัมเป็นการใช้ทรัพย์ของกลางกระทำผิดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางหลวงและต่อส่วนรวมจึงสมควรให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์