แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ไป เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี มีอายุความที่จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันที่กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) กำหนดอายุความทางอาญาจึงยาวกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448วรรคแรก จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่ามาบังคับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองบัญญัติไว้จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448วรรคแรก มาบังคับแก่จำเลยที่ 1 ตลอดทั้งจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งพนักงานรับส่งสินค้า โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อระหว่างวันที่ 11 ตุลาคม 2528 จนถึงวันที่ 6 มกราคม 2529วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ไปจำนวน 34,385.75 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเกินกำหนด1 ปี นับแต่วันที่รู้การกระทำความผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ สำหรับฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้ยกโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ทำหน้าที่พนักงานขายและรับส่งสินค้าของโจทก์ ระหว่างที่ทำงานกับโจทก์จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินค่าสินค้าและสินค้าของโจทก์ไป คิดเป็นเงิน 34,385.75 บาท ปัญหาข้อแรกที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 2อ้างว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์ทราบการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยแสดงสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ไปเป็นจำนวนเงิน 34,385.75 บาทโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้วเมื่อวันที่ 27 มกราคม2529 รายละเอียดปรากฏตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีท้ายฟ้องเป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีจึงมีอายุความที่จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายใน10 ปีนับแต่วันที่กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)กำหนดอายุความทางอาญาจึงยาวกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ที่กำหนดไว้เพียง 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองบัญญัติไว้จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448วรรคแรก มาบังคับหาได้ไม่ ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1ได้ ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 กระทำผิด ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ไประหว่างวันที่ 11 ตุลาคม 2528 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2529 เมื่อนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ แม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จะมีสิทธิยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกหนี้มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อาจยกอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจยกอายุความ 1 ปี ตามบทกฎหมายดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้เช่นเดียวกัน ฟ้องโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน