แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การร้องขอให้บังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ของการบังคับคดีให้ครบถ้วนภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา โดยขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และขั้นต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดี ต่อจากนั้นเจ้าหนี้ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 และมาตรา 278 ดังนั้น การที่ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปอีกจนพ้นกำหนดเวลาสิบปี ย่อมสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่หนี้ตามคำพิพากษา แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการจำนองได้ระงับสิ้นไป การจำนองจึงยังคงมีอยู่ ดังนั้น ผู้ร้องจึงยังคงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองตามกฎหมายกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเป็นเวลาห้าปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 745 เท่านั้น ผู้ร้องจะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 559,675.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 247,501.53 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 16 มีนาคม 2535) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 32108 ถึง 32113 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ของจำเลยที่ 2 ซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่ผู้ร้องเพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้เสนอราคาสูงสุด 7,380,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งกันส่วนหนี้จำนองในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2550 ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทโดยชอบแล้ว แต่จำเลยที่ 3 ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อนโจทก์และเจ้าหนี้สามัญรายอื่นเป็นเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง (วันที่ 9 ตุลาคม 2550) ย้อนหลังไป 5 ปี ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องเพียงว่า ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษามีสิทธิได้รับชำระหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกิน 5 ปี หรือไม่ เห็นว่า การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ของการบังคับคดีให้ครบถ้วนภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา โดยขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และขั้นต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่า ศาลได้ออกหมายบังคับคดี ต่อจากนั้นเจ้าหนี้ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และมาตรา 278 ดังนั้น การที่ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปอีกจนพ้นกำหนดเวลา 10 ปี ย่อมสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่หนี้ตามคำพิพากษา แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการจำนองได้ระงับสิ้นไป การจำนองจึงยังคงมีอยู่ ดังนั้น ผู้ร้องจึงยังคงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองตามกฎหมายกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเป็นเวลา 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 745 เท่านั้น ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า มิได้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์จำนอง เพราะเหตุที่ได้มีการเจรจาทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ทั้งไม่เป็นสาระที่จะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องได้รับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ยื่นคำร้องย้อนหลังไป 5 ปี จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ