แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ในการวินิจฉัยปัญหาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงก่อนว่า วันที่โจทก์มีสิทธิบังคับตามสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องอันเป็นวันเริ่มนับอายุความนั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด จึงจะสามารถวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,007,527.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 711,264.60 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 509,590.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 155,143.32 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2538 ของต้นเงิน 141,031.07 บาท นับแต่วันที่ 23 เมษายน 2539 และของต้นเงิน 202,086.74 บาท นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้จำเลยได้ยกเรื่องอายุความขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ฟ้องโจทก์ไว้ในคำให้การด้วย คดีจึงมีประเด็นเรื่องขาดอายุความที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัย แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์โดยมิได้วินิจฉัยประเด็นนี้ การที่จำเลยอุทธรณ์ปัญหานี้โดยตรงต่อศาลฎีกาโดยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงก่อนว่าวันที่โจทก์มีสิทธิบังคับตามสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องอันเป็นวันเริ่มนับอายุความนั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด จึงจะสามารถวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป