คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อน นายคำฟ้องเรียกเงินนางนิตย์แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนางนิตย์โอนที่ดิน10ไร่ส่วนของนางนิตย์ตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่นายคำถึงนายคำจะมิได้ร้องสอดเข้ามาในคดีหลังแต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าที่ดินเป็นของนายคำ 10 ไร่ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินส่วนของนายคำมาชำระหนี้ในคดีหลังที่โจทก์ชนะคดีจำเลยได้

ย่อยาว

ในชั้นแรก คดีก่อนศาลพิพากษาให้นางนิตย์จำเลยใช้เงินกู้ให้แก่นายคำ นางนิตย์ไม่ใช้ นายคำนำเจ้าพนักงานยึดที่ดินโฉนดที่ 2117 เฉพาะส่วนของนางนิตย์ 20 ไร่ นายเผื่อนร้องขัดทรัพย์ในที่สุดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน นางนิตย์ยอมโอนที่ดินของนางนิตย์ส่วนหนึ่ง คือ 10 ไร่ ให้แก่นายคำอีกส่วนหนึ่ง 10 ไร่ให้แก่บุตรของนางนิตย์เอง ต่อจากนั้นมาโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ในคดีหลังนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเผื่อน นางนิตย์จำเลยใช้หนี้เงินกู้และดอกเบี้ยรวม 31,075 บาท ให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ใช่โจทก์จึงนำยึดที่นาโฉนดที่ 2113 เนื้อที่ 190 ไร่เศษ ยึดเฉพาะส่วนของนางนิตย์จำเลย 20 ไร่ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้โจทก์

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ที่ดินส่วนของนายคำ 10 ไร่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายคำแล้ว โจทก์จะเอามาขายทอดตลาดไม่ได้ คงเรียกร้องเอาได้เฉพาะส่วนของบุตรจำเลยซึ่งจำเลยยอมให้เอาชำระหนี้เท่านั้นถ้าโจทก์ติดใจเอาส่วนของนายคำก็ให้ดำเนินคดีกับนายคำภายใน1 เดือน ถ้าพ้นกำหนดนี้ให้ถือว่าสละสิทธิไม่เกี่ยวข้องกับส่วนของนายคำ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับเอาเฉพาะที่เป็นส่วนของจำเลยเท่านั้น ถ้าโจทก์กับนายคำไม่สามารถจะแบ่งที่ดินกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดที่พิพาท 20 ไร่ แล้วแบ่งเงินที่ขายได้ให้แก่นายคำกึ่งหนึ่ง ส่วนของจำเลยให้โจทก์บังคับคดีต่อไป

โจทก์ฎีกา ขอให้เอาเงินที่ขายทอดตลาดที่พิพาทแบ่งเฉลี่ยให้โจทก์ตามส่วนแห่งหนี้ และว่า นายคำมิได้ร้องสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินที่โจทก์ยึด

ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงนายคำจะไม่ได้ร้องสอดเข้ามา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏโดยแน่ชัดแล้วว่า ที่ดินเป็นของนายคำกึ่งหนึ่งคือ 10 ไร่ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินส่วนของนายคำมาชำระหนี้ได้ ส่วนฎีกาข้ออื่นเป็นข้ออ้างขึ้นมาใหม่ มิได้ยกว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share