คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 45 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกมีฝาปิดอยู่ในกระเป๋าถือภายในบ้านของจำเลย และจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็ตาม แต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคท้าย ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ประกอบกับโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ใครด้วยวิธีการอย่างไร ใครเคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยบ้าง ทั้งการที่โจทก์อ้างว่าได้มีการตรวจปัสสาวะของจำเลยแล้วไม่พบสารเสพติด ก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่จะเชื่อมโยงบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เสพเมทแอมเฟตามีน แต่เป็นผู้มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องพิจารณาให้ได้ความจริงโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงดังฟ้อง เมื่อพยานโจทก์ยังคงมีข้อสงสัยตามสมควรว่า จำเลยมีเมทเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ ศาลชอบที่จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง และฟังลงโทษจำเลยได้เพียงฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2524 (ที่ถูก พ.ศ.2522) มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ให้จำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 45 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกมีฝาปิดอยู่ในกระเป๋าถือภายในบ้านของจำเลย และจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็ตาม แต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคท้าย ก็ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนก็เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย โจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ใครด้วยวิธีการอย่างไร ใครเคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยบ้าง โจทก์คงมีสิบตำรวจเอกสุพล ทุมสิงห์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดนครราชสีมา พยานผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่า ได้สืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนจับกุมจำเลยประมาณ 1 เดือน เคยให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยหลายครั้งแต่ไม่สามารถล่อซื้อได้ ซึ่งเป็นการขัดแย้งกันอยู่ในตัว หากจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง การติดต่อล่อซื้อจากจำเลยก็น่าจะกระทำได้ เพราะสิบตำรวจเอกสุพลเบิกความต่อไปว่าจำเลยยังคงนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายให้พวกกรรมกรในโรงงานอีกหลายครั้งสายลับไม่สามารถล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยได้ จึงเป็นข้อพิรุธสงสัย ทำให้พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง แม้โจทก์จะอ้างว่าได้มีการตรวจปัสสาวะของจำเลยแล้วไม่พบสารเสพติด ก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่จะเชื่อมโยงบ่งชี้ให้ฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เสพเมทแอมเฟตามีน แต่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องพิจารณาให้ได้ความจริงโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงดังฟ้อง แต่เมื่อพยานโจทก์ดังได้วินิจฉัยมายังคงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และฟังลงโทษจำเลยเพียงฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share