คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ลงโทษเจ้าพนักงานผู้เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สินโดยมิชอบ เพื่อกระทำากรในตำแหน่งของตน แต่จำเลยแกล้งจับผู้เสียหายมาแล้วขู่เอาเงิน จึงเป็นความผิด มาตรา 148 ไม่ใช่ 149
ความผิดตามมาตรา 147 ผู้กระทำผิดต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินนั้นโดยชอบ แล้วเบียดบังเอาเสีย จำเลยไม่มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินโดยชอบ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
มาตรา 157 เป็นบทที่บัญญัติไว้อย่างกว้าง เมื่อการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทที่บัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะ คือ มาตรา 148 แล้วย่อมไม่ผิดตามมาตรา 157 อีก
ศาลล่างวางบทลงโทษจำเลยเกินมา แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

ย่อยาว

ได้ความว่า นางสาวเซี่ยมล้อกำลังนับเงินอยู่ในร้านมีนายดวง นายบุญชูกับพวกนั่งอยู่ด้วย จำเลยเป็นตำรวจเข้ามาจับคนทั้งสามว่า เล่นการพนันสลากกินรวบ และยึดเงินนางสาวเซี่ยมล้อ หาเงินให้จำเลย ๓,๐๐๐ บาท แล้วจะปล่อยผู้ต้องหาทั้งสาม นางสาวเซี่ยมล้อหาเงินให้ไม่ได้ จำเลยนก็นำตัวนางสาวเซี่ยมล้อส่งสถานีตำรวจแจ้งข้อหาว่าไม่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว นางสาวเซี่ยมล้อถูกปรับฐานไม่นำบัตรประชาชนติดตัว จำเลยออกเงินค่าปรับให้แล้วปล่อยตัวกลับบ้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๔, ๕, ๑๓ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๔, ๕ ที่แก้ไขใหม่อันเป็นกระทงที่หนักที่สุด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ผิดตามมาตรา ๑๔๙ผิดตามมาตรา ๑๔๗, ๑๔๘, ๑๕๗ ตามที่แก้ไข แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๔ ที่แก้ไขใหม่
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่ มาตรา ๑๔๙ ลงโทษเจ้าพนักงานผู้เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในตำแหน่งของตน แต่พฤติการณ์ของจำเลยนี้ได้แกล้งจับผู้เสียหายกับพวกมาแล้วขู่เอาเงิน จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙
ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๔๗ และ ๑๕๗ มาด้วยนั้น เห็นว่าจะเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๗ จำเลยต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษษเงินนั้น โดยชอบแล้วเบียดบังเอาเสียโดยทุจริต แต่คดีนี้ จำเลยแกล้งจับและยึดเงินนั้นโดยทุจริตตั้งแต่ต้น จึงไม่มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินนั้นโดยชอบ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๗ ส่วนมาตรา ๑๕๗ เป็นบทที่บัญญัติไว้อย่างกว้าง เมื่อการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทที่บัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะ คือ มาตรา ๑๔๘ แล้วย่อมไม่ผิดตามมาตรา ๑๕๗ อีก
ศาลล่างวางบทลงโทษจำเลยเกินมา แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๔๗, ๑๕๗ ด้วย

Share