แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ เมื่อศาลตรวจฟ้องถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158 และสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วก็ถือว่าเป็นฟ้องตามกฎหมายและจะถือว่าผู้ถูกฟ้องยังไม่เป็นจำเลยหาได้ไม่ หากแต่ได้รับผ่อนผันยกเว้นสำหรับการดำเนินคดีในเบื้องต้นเท่านั้นฉะนั้นถ้าจะเป็นฟ้องเท็จก็อาจเป็นผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 158,159 ได้ คดีอาญาที่คู่ความเพียงแต่อ้างสำนวนการพิจารณาในคดีอื่นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีหลังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการพิจารณาและสืบพยานในศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172
ย่อยาว
คดี 3 สำนวนนี้มูลกรณีเดิมจำเลยฟ้องนายหมวก นายหนำ นายก้อนว่าเบิกความเท็จ นายหมวก นายหนำ นายก้อน จึงร้องต่ออำเภอว่าจำเลยฟ้องเท็จ จำเลยจึงตกลงกับคนทั้ง 3 ถอนฟ้องคดีก่อนไต่สวนมูลฟ้องบุคคลทั้ง 3 ก็ไปถอนคำร้องทุกข์แต่ทางอำเภอไม่ยอมจึงมาเกิดเป็นคดีเรื่องนี้ขึ้น ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงรับยืนยันความจริงตามคำเบิกความของพยานแต่ละฝ่ายที่สืบในสำนวนก่อน และจำเลยยอมให้ถือว่าการสืบพยานในคดีก่อนเป็นการกระทำต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานพิพากษายกฟ้องทั้ง 3 สำนวน
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยและพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาข้อ 1. ว่าฟ้องของจำเลยที่ฟ้องนายหมวก นายหนำนายก้อน เรื่องเบิกความเท็จยังไม่ได้ไต่สวน ยังไม่เป็นฟ้องตามกฎหมายข้อ 2. ว่าโจทก์จำเลยยืนยันตามความจริงของคำพยานที่สืบไปแล้วในสำนวนก่อนและจำเลยให้ถือว่ามีผลเท่ากับพิจารณาต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ ไม่จำต้องสืบซ้ำข้อเท็จจริงอีก
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อ 1. ตามฟ้องฉบับนั้นถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยครบถ้วนนับว่าเป็นฟ้องตามกฎหมายการที่ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์นั้นเป็นลักษณะของการพิจารณาในเบื้องต้นที่จะต้องพิเคราะห์มูลคดีเสียชั้นหนึ่งก่อนถ้าฟ้องฉบับนั้นไม่ต้องด้วยลักษณะของฟ้องแล้ว ศาลก็ไม่ต้องนัดไต่สวน สั่งยกเสียได้ทีเดียว เมื่อศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องก็หมายความว่า รับไว้เพื่อดำเนินการพิจารณาในเบื้องต้นแล้ว และการไต่สวนมูลฟ้องจะถือว่าผู้ถูกฟ้องยังไม่เป็นจำเลยไม่ได้ดังมาตรา 2 ข้อ 3 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา วิเคราะห์ศัพท์ไว้ว่า “จำเลยหมายถึงบุคคลที่ถูกฟ้องยังศาลแล้วโดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด
ข้อ 2 หลักในการพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 มีว่า “การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย” แต่คดี 3 สำนวนนี้ยังมิได้มีการพิจารณาและสืบพยานในศาล หากแต่คู่ความอ้างสำนวนการพิจารณาในคดีอื่นมาขอให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี 3 สำนวนหลังนี้ ซึ่งความจริงมิใช่เป็นการพิจารณาและสืบพยานตามกฎหมายบัญญัติไว้ เห็นว่าปฏิบัติการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย
จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์