แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ในเดือนกรกฎาคม 2536 การทำงานในหนึ่งปีแรกจึงครบในเดือนกรกฎาคม 2537 และมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีนับแต่เมื่อครบหนึ่งปีนับแต่เริ่มทำงานและในปีถัดมาทุกปี ปีละหกวันทำงานตลอดมาจนถึงช่วงปีสุดท้ายคือตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ถึงเดือนกรกฎาคม 2547 ซึ่งจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ ในช่วงปีสุดท้ายนี้โจทก์จึงมิสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีหกวันทำงานตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน แต่เมื่อในปี 2546 โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2546 ทั้งหกวันแก่โจทก์แล้วโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานส่วนนี้แล้วนำคดีไปสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่ทราบคำสั่ง คำสั่งในส่วนนี้จึงเป็นที่สุด เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่า นับแต่ต้นปี 2547 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2547 โจทก์จึงมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอีกเพียงสี่วันทำงาน และโจทก์ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปี 2547 แล้วสองวัน จึงกำหนดให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 แก่โจทก์อีกเพียงสองวันตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่โจทก์พึงมีสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 67 จึงชอบแล้ว และกรณีนี้โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 เกินกว่าหนึ่งปี มิใช่กรณีทำงานยังไม่ครบหนึ่งปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 2 จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายผู้อำนวยการเดินรถ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 40,950 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2547 จำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและตกลงจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์จำนวน 450,450 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 5 จำนวน 22,523 บาท คงเหลือเงินที่จ่ายโจทก์จำนวน 427,927 บาท ซึ่งแบ่งจ่ายเป็น 4 งวด ดังนี้ งวดที่ 1 จ่ายวันที่ 31 กรกฎาคม 2547 จำนวน 106,981 บาท งวดที่ 2 จ่ายวันที่ 31 สิงหาคม 2547 จำนวน 106,981 บาท งวดที่ 3 จ่ายวันที่ 30 กันยายน 2547 จำนวน 106,981 บาท งวดที่ 4 จ่ายวันที่ 31 ตุลาคม 2547 จำนวน 106,984 บาท โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายจึงยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 8 ต่อมาได้ส่งเรื่องร้องทุกข์ไปยังพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ จำเลยที่ 1 โดยขอให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยสำหรับค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 8 วัน เป็นเงิน 10,920 บาท และเงินค่าเสียหายที่นายจ้างหักไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 151/2547 วินิจฉัยประเด็นที่สองว่าจำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์แล้วสามงวด จึงถือไม่ได้ว่านายจ้างไม่มีการจ่ายค่าชดเชยหรือได้มีการผิดนัดการชำระค่าชดเชยให้ลูกจ้างแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของการผิดนัดชำระค่าชดเชย และวินิจฉัยประเด็นที่สามว่า โจทก์ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 จำนวน 2 วัน เมื่อนายจ้างกับลูกจ้างไม่มีการตกลงแบ่งสัดส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีกรณีลูกจ้างไม่มีการตกลงแบ่งสัดส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีกรณีลูกจ้างที่ทำงานไม่ครบหนึ่งปี จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 30 จึงไม่มีสิทธิได้ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี โจทก์ทราบคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2547 แต่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวข้างต้น ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 151/2547 เฉพาะในส่วนที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของการผิดนัดชำระค่าชดเชย ทั้งโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 และพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระค่าชดเชยจำนวน 9,760.32 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 จำนวน 2,730 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เงินค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 โจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่เคยมีการตกลงแบ่งสัดส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปี กรณีของโจทก์ทำงานไม่ครบ 1 ปี จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 คำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีของปี 2546 ถึง 2547 จำเลยที่ 2 มีกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่ากรณีที่ลูกจ้างทำงานไม่ครบ 1 ปี จะมีการแบ่งสัดส่วนของวันหยุดให้ลูกจ้าง โจทก์ใช้สิทธิในการฟ้องไม่สุจริตเพราะการที่โจทก์ออกจากงานก็เป็นความประสงค์ของโจทก์ ขณะรับค่าชดเชยโจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านเรื่องค่าจ้าง แต่โจทก์กลับใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อได้เงินใกล้จะครบจำนวน ขณะนั้นโจทก์ได้รับเงินครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2 ส่วนค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2546 ถึง 2547 โจทก์เป็นพนักงานระดับสูง การทำงานของโจทก์เป็นลักษณะที่มีอำนาจตัดสินใจด้วยตนเอง การที่จะหยุดวันใดหรือไม่ เป็นดุลพินิจของโจทก์ ไม่ต้องรับอนุมัติจากผู้ใด จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าโจทก์จะหยุดงานวันใดและตามข้อบังคับเมื่อโจทก์ไม่ใช้สิทธิถือว่าโจทก์สละสิทธิ ส่วนการใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 จำนวน 2 วัน จำเลยที่ 2 ไม่เคยมีการตกลงแบ่งสัดส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีกรณีของลูกจ้างที่ทำงานไม่ครบ 1 ปี เมื่อโจทก์ทำงานไม่ครบ 1 ปี จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความทั้งสองฝ่ายร่วมกันแถลงรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 151/2547 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ซึ่งมีข้อเท็จจริงจากฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างและข้อพิจารณาของพนักงานตรวจแรงงานยกเว้นเฉพาะข้อเท็จจริงในเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่า เห็นควรให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 151/2547 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ที่วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของการผิดนัดชำระค่าชดเชย และโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 กับกรณีที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 ต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้น ที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยังโต้แย้งกันอยู่
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 151/2547 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ของจำเลยที่ 1 เฉพาะประเด็นที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทำงานสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 จำนวน 2,730 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 2 จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายผู้อำนวยการเดินรถ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 40,950 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2547 จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยตกลงจ่ายค่าชดเชย แต่โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจึงไปร้องทุกข์ต่อจำเลยที่ 1 จนกระทั่งจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินบางส่วน แต่โจทก์ไม่พอใจจึงได้ฟ้องคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งอุทธรณ์ว่า โจทก์ทำงานในรอบปี 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2547 ยังไม่ครบหนึ่งปี และจำเลยที่ 2 ไม่เคยมีการตกลงแบ่งสัดส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีกรณีทำงานไม่ครบหนึ่งปี จึงมีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 หรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 151/2547 ซึ่งเป็นที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางระบุว่า จำเลยที่ 2 กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าลูกจ้างที่ทำงานครบหนึ่งปีมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้หกวันโดยไม่มีการสะสมในปีถัดไป ในปี 2546 โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี พนักงานตรวจแรงงานจึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีทั้งหกวันให้แก่โจทก์แล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ในเดือนกรกฎาคม 2536 การทำงานในหนึ่งปีแรกจึงครบปีในเดือนกรกฎาคม 2537 และมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีนับแต่เมื่อครบหนึ่งปีนับแต่เริ่มทำงานและในปีถัดมาทุกปี ปีละหกวันทำงานตลอดมาจนถึงช่วงปีสุดท้ายคือตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2536 ถึงเดือนกรกฎาคม 2547 ซึ่งจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ ในช่วงปีสุดท้ายนี้โจทก์จึงมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีหกวันทำงานตามข้อบังคับเกี่ยวกับทำงาน แต่เมื่อปรากฏว่าในปี 2546 โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2546 ทั้งหกวันแก่โจทก์แล้วโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานส่วนนี้แล้วนำคดีไปสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง คำสั่งในส่วนนี้จึงเป็นที่สุด เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่า นับแต่ต้นปี 2547 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2547 โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอีกเพียงสี่วันทำงาน และโจทก์ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปี 2547 แล้วสองวัน จึงกำหนดให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2547 แก่โจทก์อีกเพียงสองวันตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่โจทก์พึงมีสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 67 จึงชอบแล้ว และกรณีนี้โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 เกินกว่าหนึ่งปี มิใช่กรณีทำงานยังไม่ครบหนึ่งปีตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.