แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่หญิงมีสามีรับมอบอำนาจมาฟ้องคดีแทนโจทก์นั้น มิได้เป็นการฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรสและไม่ก่อให้เกิดภารติดพันซึ่งสินสมรสระหว่างผู้รับมอบอำนาจกับสามีแล้วแต่อย่างใด ย่อมไม่เป็นการจัดการสินสมรส ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้มอบอำนาจให้นางเพ็ญศรี มีกลิ่นหอม เป็นผู้ดำเนินคดีแทน โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทจากมารดาโจทก์เมื่อวันที่3 พฤศจิกายน 2524 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2524 นางสอิ้ง ภูมิสวัสดิ์มารดาจำเลยได้เช่าที่พิพาทมีกำหนด 1 ปี นางสอิ้งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2524 ทำให้สัญญาเช่าระงับ โจทก์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า นางสอิ้ง ภูมิสวัสดิ์ มารดาจำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำบ่อเลี้ยงปลาและสวนมะพร้าวจากนางสายบัว มารดาโจทก์จริงแต่หลังจากที่ทำสัญญากันนางสอิ้งกับนางสายบัวได้ตกลงกันด้วยวาจาให้ขยายระยะเวลาเช่าไปเป็น 10 ปี นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2524เป็นต้นไป โดยนางสอิ้งตกลงจะยกบ่อปลาและมะพร้าวทั้งหมดที่ทำขึ้นในระยะเวลาเช่าให้แก่นางสายบัว เมื่อนางสอิ้งมารดาจำเลยถึงแก่กรรมจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมได้เข้าสวมสิทธิการเช่าแทนนางสอิ้ง ได้ทำบ่อเลี้ยงปลาและสวนมะพร้าวต่อมา ทำให้บ่อปลาและสวนมะพร้าวเจริญงอกงามมีผลกว่าที่ลงทุนไป ทำให้นางสายบัวและโจทก์ต้องการบ่อปลาและมะพร้าวดังกล่าว จึงแกล้งโอนที่พิพาทให้โจทก์เพื่อให้โจทก์เรียกที่พิพาทคืน โจทก์มาฟ้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตค่าเสียหายโจทก์ไม่เป็นความจริง ที่พิพาทหากให้บุคคลภายนอกเช่าก็จะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 1,500 บาท ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นหญิงมีสามีแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้แนบหนังสือให้ความยินยอมของสามีมาท้ายคำฟ้องโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทและเรียกค่าเสียหาย เพราะสัญญาที่มารดาโจทก์ได้ตกลงทำกับมารดาจำเลยยังไม่ครบกำหนดตามข้อตกลง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทของโจทก์ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่พิพาท และชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 800 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความความชั้นอุทธรณ์1,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย3 ข้อ คือ (1) นางเพ็ญศรีเป็นหญิงมีสามีรับมอบอำนาจจากโจทก์มาฟ้องคดี ต้องได้รับความยินยอมจากสามีก่อน เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากสามีการฟ้องคดีจึงไม่ชอบ (2) โจทก์มีภริยาแล้วฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและ (3)สัญญาเช่าระหว่างมารดาโจทก์กับมารดาจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ปัญหาข้อแรกศาลฎีกาเห็นว่า การที่นางเพ็ญศรีรับมอบอำนาจจากโจทก์มาฟ้องคดีนี้มิได้ฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรส และหาได้ก่อให้เกิดภารติดพันซึ่งสินสมรสระหว่างนางเพ็ญศรีกับสามีแต่อย่างใดไม่ ไม่เป็นการจัดการสินสมรส นางเพ็ญศรีจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี ส่วนฎีกาข้อที่สองนั้นเห็นว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ และที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า มีสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาระหว่างมารดาจำเลยกับมารดาโจทก์นั้นปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์จำเลยยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์โดยโต้เถียงข้อเท็จจริงผิดไปที่ศาลชั้นต้นฟังมา ซึ่งศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้เพราะคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกัน ศาลฏีกาไม่อาจวินิจฉัยฎีกาข้อ 2 และข้อ 3 ให้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาทแทนโจทก์.