แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยว่าจ้างให้ ท. ขับรถยนต์บรรทุกของผู้ร้องบรรทุกช้าง2เชือก ผ่านบริเวณด่านกักสัตว์ จึงถูกจับกุมดำเนินคดีฐานไม่มีใบอนุญาตเคลื่อนย้ายสัตว์ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ฯ มาตรา 4,34,49 ในชั้นร้องขอคืนของกลางจำเลยเบิกความเป็นพยานผู้ว่า จำเลยเป็นผู้ว่าจ้าง ท. เอง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นในการว่าจ้างบรรทุกช้างของจำเลย ซึ่งจำเลยเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับการยึดรถยนต์บรรทุกของกลาง จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อีกทั้งความผิดคดีนี้อยู่ที่จำเลยไม่มีใบอนุญาตเคลื่อนย้ายช้าง หาใช่ความผิดอยู่ที่การเคลื่อนย้ายไม่ กรณีจึงเชื่อได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ต้องคืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 มาตรา 4, 34, 49 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และริบรถยนต์บรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน 80-7282 สุรินทร์ ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่ศาลชั้นต้นสั่งริบผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้สั่งคืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานไม่มีใบอนุญาตขนย้ายช้าง 2 เชือก จากจังหวัดสุรินทร์เพื่อไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และยึดรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งมีผู้ร้องเป็นเจ้าของตามทะเบียนรถเอกสาร ร.1 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุไม่ทราบมาก่อนว่า นายทองสุก เสรี ลูกจ้างผู้ร้องนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปรับจ้างบรรทุกช้างซึ่งนายทองสุก เบิกความสนับสนุนว่า จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างพยานเอง อีกทั้งจำเลยเบิกความเป็นพยานผู้ร้องประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนตามเอกสาร ร.ค.1 ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นในการว่าจ้างบรรทุกช้างของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า การจ้างบรรทุกช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ เป็นระยะทางไกล และค่าจ้างบรรทุกจำนวนไม่น้อย ไม่เชื่อว่าผู้ร้องไม่ทราบ และผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางต้องเป็นผู้ตกลงว่าจ้างบรรทุกกับจำเลยผู้ว่าจ้างเอง เห็นว่า จำเลยเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับการยึดรถยนต์บรรทุกของกลางเบิกความในชั้นศาล และให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสาร ร.ค.1 ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้เห็นว่า ผู้ร้องรู้เห็นการว่าจ้างบรรทุกช้างของจำเลย น้ำหนักพยานปากนี้น่าเชื่อถือได้ อีกทั้งความผิดคดีนี้อยู่ที่จำเลยไม่มีใบอนุญาตเคลื่อนย้ายช้าง หาใช่ความผิดอยู่ที่การเคลื่อนย้ายไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอาชีพรับจ้างบรรทุกสิ่งของและขนส่งสัตว์ผู้ร้องต้องทราบว่า การขนย้ายช้างนั้นต้องมีใบอนุญาตเคลื่อนย้ายด้วยนั้น น่าจะยังไม่ชอบด้วยเหตุผล จากข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นจึงเชื่อว่าผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง