คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5949/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าว่าผิดสัญญาซื้อขาย โดยจำเลยที่ 1ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทผ้าย้อมไปจากโจทก์ และได้รับสินค้าถูกต้องครบถ้วนแล้วไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ และได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไว้ด้วยว่า ในระหว่างที่เกิดมูลคดีนี้ จำเลยที่ 4เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3และประทับตราห้างของจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ คำฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 4ได้บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้างเป็นข้อเท็จจริงที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา จำเลยที่ 4 เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แม้ออกจากหุ้นส่วนไปแล้วก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจากหุ้นส่วนไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1051 และมาตรา 1052 จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดกับห้างจำเลยที่ 1 แม้โจทก์ผู้อ้างเอกสารจะมิได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยก่อน 3 วันแต่เมื่อศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 4 ในระหว่างที่เกิดมูลคดีนี้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แต่ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างจำเลยที่ 1 ในทางการค้าขายของห้างจำเลยที่ 1เมื่อปี 2527 จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทผ้าย้อมไปเป็นเงิน1,014,819.98 บาท แล้วไม่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 5 ได้นำผ้าย้อมในงวดสุดท้ายส่วนที่ยังไม่ได้ตัดมาคืนให้โจทก์คิดเป็นเงินจำนวน 774,677.76 บาท ซึ่งโจทก์คิดค่าเสียหายในส่วนผ้าย้อมที่ได้คืนมาร้อยละ 10 ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 335,258 บาท แก่โจทก์ และให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 317,610 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าและไม่เคยได้รับสินค้าตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2527 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2527 และได้ขอถอนตัวออกจากห้างจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2527 แล้วในขณะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 1 นั้นจำเลยที่ 1ไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนผ้าที่ได้คืนมาในอัตราร้อยละ 10 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 5 ไม่ได้สอดเข้าดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 5 ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดภาระผูกพันให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน317,610 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามที่จำเลยที่ 4ฎีกาข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าว่าผิดสัญญาซื้อขาย โดยบรรยายฟ้องว่าในระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2527 ถึงวันที่ 20 กันยายน 2527จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทผ้าย้อมไปจากโจทก์รวม 10 ครั้งจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าดังกล่าวไปจากโจทก์ถูกต้องครบถ้วนแล้วไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 และได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไว้ด้วยว่า ในระหว่างที่เกิดมูลคดีนี้ จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และประทับตราห้างของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้จะเห็นว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 4ได้บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนจำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้างเป็นข้อเท็จจริงที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ดังนั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 4 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 4 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 4 ให้การว่า เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2527 ถึง3 ตุลาคม 2527 เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอกู้เงินจากจำเลยที่ 4 จึงให้จำเลยที่ 4 ร่วมเป็นผู้จัดการด้วยเพื่อขอรับเงินจากใบสั่งสินค้าโดยผ่านทางธนาคารในประเทศ หลังจากนั้นจำเลยที่ 4ได้ขอถอนตัวออกจากห้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 อ้างว่าการซื้อขายดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นในขณะที่จำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าขณะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์นั้น จำเลยที่ 4 ได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ซึ่งจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในหนี้ใด ๆซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนและแม้ผู้เป็นหุ้นส่วนออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจากหุ้นส่วนไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1051 และมาตรา 1052เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อผ้าไปจากโจทก์จริงจำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ด้วย ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายร้อยละ 10 เป็นเงิน 77,467.77 บาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 คืนผ้าย้อมที่สั่งซื้อให้แก่โจทก์โจทก์นำไปขายต่อได้ราคาต่ำลง 77,467.77 บาท เพราะเป็นสินค้าเหลือ จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ฎีกาจำเลยที่ 4 ข้อสุดท้ายว่าโจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.16แก่จำเลยที่ 4 ก่อน 3 วันนั้น เห็นว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) ฎีกาจำเลยที่ 4ทุกข้อฟังไม่ขึ้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share