แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การวางเงินค่าทดแทนต่อศาลตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295ข้อ 67 วรรคแรก หมายถึงการวางเงินค่าทดแทนต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางหรือสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาค 1 ถึง 9 กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม แล้วแต่กรณี เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์วางเงินค่าทดแทนไว้ให้โจทก์ ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เมื่อ วันที่ 30สิงหาคม 2528 แต่โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินส่วนที่โจทก์ เห็นว่า ควร ได้รับเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2529 จึงขาดอายุความ 1 ปี ตามบทบัญญัติดังกล่าว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนจำนวน1,219,131 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจำนวนเงิน915,200 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจากจำเลย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์นำเงินค่าทดแทนไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์คืนเงินค่าทดแทนที่คิดเกินไปให้แก่จำเลย
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีสำหรับฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 395,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาล7,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ที่ดินตามฟ้องของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่เขตบางขุนเทียน เขตราษฎร์บูรณะ และเขตยานนาวา กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2525 จำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์จำนวน124,800 บาท ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2528 โจทก์ได้รับเงินดังกล่าวในวันที่ 12กันยายน 2528 โดยสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องค่าทดแทนส่วนที่ยังขาดอยู่ และนำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2529 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน2515 ข้อ 21 กระทรวงยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการศาลยุติธรรมแต่ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี การวางทรัพย์ต่อศาลถือได้ว่าเป็นงานที่เกี่ยวกับการศาลยุติธรรมที่ไม่ใช่การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีแม้ต่อมาจะมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2518 ใช้บังคับให้สำนักงานวางทรัพย์กลางและสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาค 1 ถึง 9 เป็นส่วนราชการของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ก็ตามการวางทรัพย์ก็ยังคงเป็นงานที่เกี่ยวกับการศาลยุติธรรมอยู่ การวางเงินค่าทดแทนต่อศาลตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 67 วรรคแรก ย่อมหมายถึงการวางเงินค่าทดแทนต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง หรือสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาค 1 ถึง 9 แล้วแต่กรณี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่295 ข้อ 67 วรรคสองบัญญัติว่า “การที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์รับชำระค่าทดแทน แต่ยังไม่ยินยอมตกลงในจำนวนเงินค่าทดแทนที่เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนด หรือรับหรือไม่รับเงินค่าทดแทนที่เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์วางไว้ต่อศาล ไม่ตัดสิทธิเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่จะฟ้องเรียกเงินส่วนที่ตนเห็นว่าควรจะได้รับภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ตนรับเงินค่าทดแทนจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ หรือวันที่เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์วางเงินค่าทดแทนต่อศาลแล้วแต่กรณี ฯลฯ” ดังนั้นการเริ่มนับอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีได้ 2 กรณี คือ ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์รับชำระค่าทดแทนจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ กรณีหนึ่งกับเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้วางเงินค่าทดแทนไว้ต่อศาลอีกกรณีหนึ่ง ในกรณีแรกอายุความเริ่มนับแต่วันที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์รับเงินค่าทดแทนจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีหลังอายุความเริ่มนับแต่วันที่วางเงินค่าทดแทนต่อศาลไม่ว่าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์จะรับหรือไม่รับเงินค่าทดแทนดังกล่าวหรือไม่ คดีนี้เป็นกรณีเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้วางเงินค่าทดแทนไว้ให้โจทก์ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี โดยได้วางเงินทดแทนไว้ในวันที่ 30 สิงหาคม 2528 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองวันที่ 5 กันยายน2529 จึงขาดอายุความตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ข้อ 67 วรรคสอง
พิพากษายืน.