คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5948/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแต่ถูกจำเลยคัดค้านการรังวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3, น.ส.2(ใบจอง) ของจำเลยและทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ของโรงเรียนบ้านน้อยใต้ โดยโจทก์ได้แนบภาพถ่ายคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีข้อความระบุว่า จากการสอบสวนพยานหลักฐานแล้วปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโดยมี น.ส.3, ใบจองและได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินของโรงเรียนมาท้ายฟ้องด้วยนั้นเป็นการฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทหาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่เพียงแต่กล่าวอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วน น.ส.3 และ น.ส.2(ใบจอง) ที่โจทก์ขอให้เพิกถอนก็คือ น.ส.3 และ น.ส.2(ใบจอง)ที่ดินพิพาทนั่นเอง สำหรับทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ที่ขอให้เพิกถอนโจทก์ก็อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องเพราะขึ้นทะเบียนที่ดินมากกว่าที่ดินพิพาทและอาณาเขตที่ดินที่ติดต่อกับที่ดินของบุคคลอื่นก็แตกต่างกับที่ดินพิพาท เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ภายหลังจากที่โจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว โดยมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าโจทก์ไม่สามารถทราบว่าหลักฐานดังกล่าวได้มีอยู่อันจะเป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์และศาลฎีกาเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและกรณีมีเหตุจำเป็นจะต้องสืบพยานเช่นว่านั้นจึงอนุญาตให้โจทก์อ้างพยานเพิ่มเติมดังกล่าวได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแต่ถูกจำเลยคัดค้านการรังวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีคำสั่งว่าผู้คัดค้านมีสิทธิดีกว่าโจทก์กับพวกหากไม่ พอใจก็ให้ฟ้องคดีต่อศาลภายใน 60 วันนับแต่วันทราบคำสั่ง โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบเพราะโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลาดมาขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 เลขที่ 254, 255 น.ส. 2 (ใบจอง) เลขที่ 246ตำบลหนองญาติ และทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ของโรงเรียนบ้านน้อยใต้ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนมและขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทจนได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วโจทก์นำรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดทับที่ของโรงเรียนบ้านน้อยใต้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ที่คัดค้านการขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาขอให้ขับไล่และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท หาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมที่ชี้ขาดว่าผู้คัดค้านมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ เพียงแต่โจทก์กล่าวอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นส่วน น.ส. 3 และ น.ส. 2 (ใบจอง) ที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนั้นก็ปรากฏภาพถ่ายคำสั่งจังหวัดนครพนม เอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 กับพวกได้คัดค้านการที่โจทก์กับพวกขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าผู้คัดค้านมีสิทธิครอบครองและมีหลักฐานตามกฎหมาย เจ้าพนักงานที่ดินได้สอบสวนพยานหลักฐานแล้วปรากฏว่าผู้คัดค้านได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทติดต่อกันเต็มทั้งแปลง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2มี น.ส. 3 จำเลยที่ 3 มีใบจองและทางโรงเรียนบ้านน้อนใต้ได้นำขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินของโรงเรียน ฯลฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจึงมีคำสั่งชี้ขาดว่าผู้คัดค้านมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ฯลฯซึ่งเห็นได้ว่า น.ส.3 และ น.ส.2 (ใบจอง) ที่โจทก์ให้เพิกถอนก็คือน.ส.3 และ น.ส.2 (ใบจอง) ที่พิพาทนั่นเอง สำหรับทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ของโรงเรียนบ้านน้อยใต้ที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนั้น โจทก์ก็อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องเพราะที่ดินที่ขึ้นทะเบียนไว้มากกว่าที่ดินพิพาทและอาณาเขตที่ดินที่ติดต่อกันกับที่ดินของบุคคลอื่นก็แตกต่างกับที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ไม่อาจทราบได้ว่ามีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่า คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่โจทก์ฎีกาขอให้วินิจฉัยปัญหาที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาข้อนี้โจทก์ได้ยื่นคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ไว้แล้วก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ด้วย แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัย จึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว สำเนาทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ของโรงเรียนบ้านน้อยใต้ที่จำเลยอ้างมาเป็นพยานตามสำเนาภาพถ่ายหมาย ล.7 ปรากฏว่ามีแผ่นแรกแผ่นเดียว เมื่อโจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกต้นฉบับเอกสารดังกล่าวมาทั้งเล่มในระหว่างสืบพยานพยานจำเลย โจทก์อ้างว่าลายมือผู้เขียนข้อความในแผ่นที่ 1 น่าจะเป็นลายมือของนายดำรงศักดิ์พุทรา ครูใหญ่โรงเรียนบ้านน้อยใต้พยานจำเลยซึ่งเขียนขึ้นในภายหลังโจทก์ได้ตรวจพบภายหลังจากได้สืบพยานโจทก์ไปหมดแล้ว จึงไม่สามารถทราบได้ก่อนหน้านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างตามคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ภายหลังจากสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนเสร็จไปแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าโจทก์ไม่สามารถทราบว่าหลักฐานดังกล่าวได้มีอยู่อันจะเป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ก่อนที่จะสืบพยานของโจทก์เสร็จ เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและกรณีมีเหตุจำเป็นจะต้องสืบพยานเช่นว่านั้น จึงอนุญาตให้โจทก์อ้างบัญชีพยานเพิ่มเติมดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ให้รับบัญชีพยานของโจทก์เพิ่มเติมดังกล่าวไว้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่.

Share