คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5941/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยถูกผู้ร้องฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองทรัพย์สินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคสอง และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับจำนองทรัพย์พิพาทไว้โดยไม่สุจริต ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมจำนองจึงพิพากษายกฟ้อง ผลของคดีดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง เมื่อผู้ร้องไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมจำนองทรัพย์พิพาทได้ นิติกรรมจำนองทรัพย์พิพาทจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองย่อมมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์พิพาทได้ทั้งหมดเพราะสิทธิจำนองครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 716 และเป็นทรัพยสิทธิใช้ยันแก่บุคคลทั่วไปได้ ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องหย่าจำเลยและขอแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาแม้ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่ผู้ร้องก็มีผลผูกพันเฉพาะผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว หามีผลต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันเงินสินสมรสส่วนของตนจากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท

ย่อยาว

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 7783 แขวงป้อมปราบเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย (สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งจำนองเป็นประกันหนี้เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา

ผู้ร้องยื่นคำร้องระหว่างการยึดทรัพย์บังคับคดีว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรส จำเลยนำทรัพย์ดังกล่าวไปจำนองแก่โจทก์โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอม โจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริต การจำนองจึงไม่ผูกพันส่วนที่เป็นของผู้ร้องกึ่งหนึ่งขอให้ศาลมีคำสั่งกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง

จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยกับผู้ร้องแยกกันอยู่ประมาณ 20 ปีแล้ว และได้แบ่งสินสมรสกันโดยตกลงให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นสิทธิของจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปจำนองประกันหนี้กู้ยืมจากโจทก์และนำเงินมาใช้จ่ายในกิจการค้าของจำเลยเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว โดยผู้ร้องมอบให้จำเลยจัดการทรัพย์สินทั้งหมด ผู้ร้องเคยฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองทรัพย์พิพาทแต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า จำเลยซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทคดีนี้ในระหว่างสมรสจากนายพินิจ อยู่นิรันดร ครั้นวันที่ 25 สิงหาคม 2536 จำเลยจดทะเบียนจำนองทรัพย์พิพาทเป็นประกันหนี้ต่อโจทก์โดยผู้ร้องมิได้ให้ความยินยอมต่อมาจำเลยผิดนัดชำระหนี้จึงถูกโจทก์ฟ้องและบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาด นอกจากนี้จำเลยและโจทก์ยังถูกผู้ร้องฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองทรัพย์พิพาทต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคสอง และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับจำนองทรัพย์พิพาทไว้โดยไม่สุจริต ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2541 ผลคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2541 ย่อมผูกพันคู่ความทั้งหมดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องไม่อาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองทรัพย์พิพาทได้ นิติกรรมจำนองทรัพย์พิพาทจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองย่อมมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์พิพาทได้ทั้งหมด เพราะสิทธิจำนองครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 716 และเป็นทรัพย์สิทธิใช้ยันแก่บุคคลทั่วไปได้ ส่วนที่ผู้ร้องหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้มีคำพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่ผู้ร้องตามที่ผู้ร้องฟ้องหย่าจำเลยและขอแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามสำเนาคำพิพากษาแนบท้ายฎีกานั้น ก็มีผลผูกพันเฉพาะผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว หามีผลต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันเงินสินสมรสส่วนของตนจากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้วฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share