คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3190/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ โดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธที่ไม่รับของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรก
คดีก่อนจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้โจทก์คดีนี้ชำระค่าเสียหายเพราะเหตุส่งมอบพรมชำรุดบกพร่อง ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระราคาพรม ฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144
โจทก์และจำเลยในคดีก่อนกับจำเลยที่ 1 และโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และพิพาทกันในมูลสัญญาซื้อขายอันเดียวกัน คำพิพากษาในคดีเรื่องก่อนจึงผูกพันคู่ความในคดีนี้มิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 และเป็นผลให้ศาลในคดีนี้ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีก่อน เมื่อศาลอุทธรณ์คดีก่อนซึ่งจำเลยที่ 1เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย พิพากษาว่า โจทก์ (จำเลยที่ 1 คดีนี้) ได้รับพรมที่สั่งซื้อจากจำเลย (โจทก์คดีนี้) และโจทก์ (จำเลยที่ 1 คดีนี้) มีโอกาสตรวจดูว่าตรงตามที่สั่งซื้อหรือไม่ โจทก์รับไว้โดยมิได้ทักท้วงแล้วนำไปติดตั้งให้ลูกค้า กรณีเช่นนี้จำเลย (โจทก์คดีนี้) ไม่ต้องรับผิด คดีถึงที่สุดแล้ว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ (คดีนี้) เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ส่งมอบพรมตามคุณภาพที่ได้สั่งซื้อให้จำเลยและไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และไม่มีหน้าที่ชำระราคาให้โจทก์พิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากคดีก่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและได้กระทำในนามของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เชิดจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนสั่งซื้อพรมจากโจทก์จำนวน ๑ รายการราคา ๑๐,๙๒๘ บาท ๕๖ สตางค์ โจทก์ส่งมอบพรมดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องร่วมกันชำระเงิน ๑๐,๙๒๘ บาท ๕๖ สตางค์ให้โจทก์โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๓๗ บาท ๑๒ สตางค์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๑,๓๖๕ บาท ๖๘ สตางค์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้ผิดสัญญาความจริงจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจำหน่ายพรมของโจทก์จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ซื้อพรมจากโจทก์ตามฟ้องโดยมีข้อตกลงเป็นธรรมเนียมการค้าต่อกันว่าจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่นำพรมไปติดตั้งให้ลูกค้าและจะชำระเงินเมื่อจำเลยที่ ๑ ติดตั้งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้วครั้นจำเลยที่ ๑ รับพรมไปจากโจทก์และติดตั้งให้ลูกค้าปรากฏว่าไม่สามารถส่งมอบงานได้เนื่องจากพรมไม่ตรงตามตัวอย่างขาดคุณภาพขนพรมมีตำหนิอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาลูกค้าของจำเลยที่ ๑ ไม่ยอมรับมอบงานจำเลยที่ ๑ แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ มอบให้ทนายความบอกกล่าวเลิกสัญญากับโจทก์ให้รับพรมคืนไปและเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ฎีกาข้อแรกของโจทก์เห็นว่าโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ปัญหาดังกล่าวโดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธที่ไม่รับของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๓๖ วรรคแรก ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงชอบแล้ว
ฎีกาข้อ ๒ ของโจทก์เห็นว่าคดีที่จำเลยที่ ๑ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยเป็นเรื่องขอให้โจทก์คดีนี้ชำระค่าเสียหายเพราะเหตุส่งมอบพรมพิพาทชำรุดบกพร่องส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระราคาพรมพิพาท ฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๔ และตามฎีกาของโจทก์ได้โต้แย้งด้วยว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแตกต่างขัดกับคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยว่าผู้ขาย (โจทก์คดีนี้) ผิดสัญญาซื้อขายโดยส่งมอบพรมที่ชำรุดบกพร่องผู้ซื้อ (จำเลยคดีนี้) ได้บอกเลิกสัญญาแล้วให้ผู้ขาย (โจทก์คดีนี้) ชำระค่าเสียหายศาลชั้นต้นคดีนี้นั้นวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายเป็นอันบริบูรณ์แล้วพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีถึงที่สุดแล้วฎีกาของโจทก์ข้อนี้โจทก์ได้ยกขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์แล้วแต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์และจำเลยในคดีก่อนกับจำเลยที่ ๑ และโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและพิพาทกันในมูลสัญญาซื้อขายอันเดียวกันคำพิพากษาในคดีเรื่องก่อนจึงผูกพันคู่ความในคดีนี้มิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ และเป็นผลให้ศาลในคดีนี้ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีก่อนเมื่อศาลอุทธรณ์คดีก่อนซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยพิพากษาว่าโจทก์ (จำเลยที่ ๑ คดีนี้) ได้รับพรมที่สั่งซื้อจากจำเลย (โจทก์คดีนี้) และโจทก์ (จำเลยที่ ๑ คดีนี้) มีโอกาสตรวจดูว่าตรงตามที่สั่งซื้อหรือไม่โจทก์รับไว้โดยมิได้ทักท้วงแล้วนำไปติดตั้งให้ลูกค้ากรณีเช่นนี้จำเลย (โจทก์คดีนี้) ไม่ต้องรับผิดคดีถึงที่สุดแล้วการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ (คดีนี้) เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ส่งมอบพรมตามคุณภาพที่ได้สั่งซื้อให้จำเลยและไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีหน้าที่ชำระราคาให้โจทก์พิพากษายกฟ้องจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากคดีก่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงใดไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ศาลอุทธรณ์ในคดีก่อนได้พิพากษาว่าโจทก์ (จำเลยที่ ๑ คดีนี้) ได้รับพรมที่สั่งจากจำเลย (โจทก์คดีนี้) และมีโอกาสตรวจดูว่าตรงตามที่สั่งซื้อหรือไม่โจทก์รับไว้โดยมิได้ทักท้วงแล้วนำไปติดตั้งให้ลูกค้ากรณีเช่นนี้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ผิดสัญญาจำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ ๑ ผู้ซื้อต้องรับผิดชำระค่าพรมให้โจทก์ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและได้กระทำการในนามของจำเลยที่ ๑ ดังนี้จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
พิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๐,๙๒๘ บาท ๕๖ สตางค์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ จนถึงวันฟ้องแต่ไม่ให้เกิน ๔ เดือนและนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวมสามศาลเป็นเงิน ๑,๓๐๐ บาทส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับ.

Share