แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 742/2539 ของศาลชั้นต้นฟ้องว่า จำเลยกับพวกโดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยประกาศโฆษณาแก่ประชาชนว่า จำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ มีตำแหน่งงานให้ทำหลายตำแหน่ง รายได้ดี สวัสดิการดี ใครต้องการไปทำงานให้สมัครและจ่ายค่าสมัคร ค่าบริการต่าง ๆ ได้ที่จำเลยกับพวกซึ่งเป็นเท็จ ด้วยการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนจำนวน 343 คน หลงเชื่อไปสมัครงานและจ่ายเงินให้จำเลยกับพวกรวมเป็นเงิน 16,185,000 บาท แล้วจำเลยกับพวกนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต นอกจากนี้จำเลยกับพวกยังร่วมกันจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งหมดซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนกลางตามกฎหมาย ปรากฏว่าฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 742/2539 เหมือนกันแทบทุกประการ เป็นการฟ้องในฐานความผิดเดียวกัน โดยวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดทั้ง 2 คดี เป็นช่วงเวลาเดียวกัน แสดงว่าการประกาศโฆษณาให้ประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายทั้ง 2 คดี หลงเชื่อ เป็นการประกาศโฆษณาครั้งเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุทั้งสองคดีเป็นสถานที่เดียวกันจะแตกต่างกันก็เฉพาะเป็นผู้เสียหายต่างรายกันเท่านั้น ทั้งทางนำสืบทั้ง 2 คดี จำเลยกระทำผิดร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. โดยจำเลยเป็นหุ้นส่วนของห้างดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าเป็นความผิดอันเป็นการกระทำเดียวกันมาแยกฟ้องเป็น 2 คดี โดยแยกผู้เสียหายออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละคดีเท่านั้น เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นความผิดที่โจทก์ได้ฟ้องไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 742/2539 และเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1312/2544 ของศาลชั้นต้นไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้ย่อมระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) จึงต้องยกฟ้องของโจทก์คดีนี้เสีย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกโดยทุจริตได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยประกาศโฆษณาแก่ประชาชนว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ มีตำแหน่งงานให้ทำหลายตำแหน่ง รายได้ดี สวัสดิการดี ใครต้องการไปทำงานให้สมัครได้ที่จำเลยกับพวกโดยต้องจ่ายค่าสมัคร ค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่จำเลยกับพวก แล้วจำเลยกับพวกจะจัดส่งผู้สมัครไปทำงานที่ประเทศดังกล่าวตามความประสงค์ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยหาได้มีความสามารถส่งคนไปทำงานที่ประเทศดังกล่าวให้มีรายได้ดี สวัสดิการดีแต่อย่างใดไม่ ด้วยการหลอกลวงตามวิธีการดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนจำนวน 116 คน ตามบัญชีรายชื่อผู้เสียหายท้ายฟ้อง หลงเชื่อมาสมัครงานและจ่ายเงินให้จำเลยกับพวกตามรายการที่ผู้เสียหายแต่ละคนได้จ่ายไปท้ายฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,187,000 บาท แล้วจำเลยกับพวกนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งหมดท้ายฟ้องซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางตามกฎหมาย จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 742/2539 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91, 83, 343 พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 5,187,000 บาท แก่ผู้เสียหายทุกคน และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 742/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานฉ้อโกงประชาชน จำคุก 4 ปี ฐานจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 8 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 5,187,000 บาท แก่ผู้เสียหายทุกคนในส่วนที่แต่ละคนได้รับความเสียหาย และให้นับโทษของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 742/2539 หมายเลขแดงที่ 1312/2544 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานร่วมกันจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศเป็น 2 คดี ด้วยกันคือ คดีหมายเลขดำที่ 742/2539 ของศาลชั้นต้น และคดีนี้โดยขอให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าว ซึ่งคดีดังกล่าวโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกโดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยประกาศโฆษณาแก่ประชาชนว่า จำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ มีตำแหน่งงานให้ทำหลายตำแหน่ง รายได้ดี สวัสดิการดี ใครต้องการไปทำงานให้ไปสมัครได้ที่จำเลยกับพวกโดยต้องจ่ายค่าสมัคร ค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่จำเลยกับพวก แล้วจำเลยกับพวกจะจัดส่งผู้สมัครไปทำงานที่ประเทศดังกล่าวซึ่งเป็นเท็จ ความจริงแล้วจำเลยกับพวกหาได้มีความสามารถส่งคนไปทำงานที่ประเทศดังกล่าวให้มีรายได้ดี สวัสดิการดีแต่อย่างใดไม่ ด้วยการหลอกลวงตามวิธีการดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนจำนวน 343 คน ตามบัญชีรายชื่อผู้เสียหายท้ายฟ้องหลงเชื่อไปสมัครงานและจ่ายเงินให้จำเลยกับพวกตามรายการที่ผู้เสียหายแต่ละคนได้จ่ายไปท้ายฟ้องรวมเป็นเงิน 16,185,000 บาท แล้วจำเลยกับพวกนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต และจำเลยกับพวกดังกล่าวร่วมกันจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งหมดท้ายฟ้องซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91, 83, 343 พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2538 มาตรา 30, 82 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 16,185,000 บาท แก่ผู้เสียหายทุกคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ในคดีนี้กับคดีดังกล่าวเหมือนกันแทบทุกประการ เป็นการฟ้องในฐานความผิดเดียวกัน โดยวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดทั้ง 2 คดี เป็นช่วงเวลาเดียวกัน แสดงว่าการประกาศโฆษณาให้ประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายทั้ง 2 คดีนี้หลงเชื่อยอมจ่ายเงินให้จำเลยกับพวกเป็นการประกาศโฆษณาครั้งเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุทั้ง 2 คดี ก็เป็นสถานที่เดียวกัน จะแตกต่างกันก็เฉพาะผู้เสียหายในคดีนี้กับในคดีดังกล่าวเป็นผู้เสียหายต่างรายกันเท่านั้น ทั้งทางนำสืบของโจทก์ในคดีนี้และคดีดังกล่าวก็ปรากฏว่าการกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 2 คดี จำเลยกระทำความผิดร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ตรีท็อป โดยจำเลยเป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวและยังมีผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยอีกหลายคนเป็นอย่างเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าเป็นความผิดอันเป็นการกระทำเดียวกันมาแยกฟ้องเป็น 2 คดี โดยแยกผู้เสียหายออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละคดีเท่านั้น เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในการกระทำของจำเลยดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดที่โจทก์ได้ฟ้องไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 472/2539 และหมายเลขแดงที่ 1312/2544 ของศาลชั้นต้นไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้ย่อมระงับไปแล้ว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) จึงต้องยกฟ้องของโจทก์คดีนี้เสีย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343 ประกอบมาตรา 83 และคำขออื่นของโจทก์เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4.