แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมมีขึ้น ตั้งแต่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองและยังคงมีอยู่ตลอดเวลาที่จำเลยครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์อยู่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยังคงยึดถือครอบครองที่ดินอยู่ แม้จำเลยจะครอบครองมานานเกิน 10 ปี คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอให้ลงโทษตาม ป. ที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป. ที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี และปรับกระทงละ 6,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี และปรับ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้กระทงละ 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยตกลงกันเป็นเวลา 25 ชั่วโมง ตาม ป.อ. มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน สาธารณสมบัติประโยชน์ของแผ่นดิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องเป็นกรรมเดียว ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยอายุ 64 ปี การคุมประพฤติและทำกิจกรรมบริการสังคมไม่เหมาะแก่จำเลย ให้เพิกถอนเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน โดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมมีขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ายึดครอบครองและยังคงมีอยู่ตลอดเวลาที่จำเลยครอบครองที่ดิน สาธารณประโยชน์อยู่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยยังคงยึดถือครอบครองที่ดินอยู่ แม้จำเลย จะครอบครองมานานเกิน 10 ปี คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.