คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าต้องรื้อถอนโรงเรือนที่ปลูกในที่เช่าเมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญา ผู้เช่าจะเรียกค่ารื้อถอนไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 2289 จากนายกุนทรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2497 จำเลยได้เช่าที่ดินบางส่วนปลูกโรงเรือนจากนายกุนทรีโดยมิได้กำหนดเวลาเช่า เมื่อโจทก์รับซื้อมาแล้วได้บอกกล่าวเลิกการเช่า ให้จำเลยรื้อเรือนโรงออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงขอให้จำเลยและบริวารรื้อโรงเรือนออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า ได้เช่าที่ดินรายนี้จากนายกุนทรี 50 ตารางวาเพื่อปลูกเรือน และสัญญาเช่าได้หมดอายุ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2495ต่อมาเดือนมกราคม 2496 จำเลยได้เช่าจากนายกุนทรีอีก โดยขึ้นค่าเช่าจากปีละ 80 บาท เป็น 150 บาท เพราะเชื่อว่า การเช่าจะยืดเวลาต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ทั้งนายกุนทรีให้จำเลยติดต่อกับนายกล่ำนางเองผู้ดูแลเก็บค่าเช่าแทน จำเลยจึงขออนุญาตนายกล่ำ นางเองซ่อมแซมห้องแถวใหม่ สิ้นเงินไป 12,000 บาท ครั้นซ่อมเสร็จแล้วนายกล่ำ นางเองเรียกให้ทำสัญญาเช่าใหม่แต่จะขึ้นค่าเช่า เป็นปีละ 800 บาท จำเลยไม่ยอมเช่า โจทก์กับนายกล่ำ นางเอง นายกุนทรีจึงสมคบกันใช้สิทธิไม่สุจริตตกลงโอนที่ดินรายนี้ให้โจทก์ ซึ่งความจริงนายกล่ำ นางเองเป็นผู้ซื้อเอง แต่นายกล่ำ นางเองเป็นคนต่างด้าวรับโอนไม่ได้ สัญญาโอนระหว่างนายกุนทรีกับโจทก์เป็นโมฆะ ถ้าศาลพิพากษาขับไล่จำเลย จำเลยจะต้องเสียค่ารื้อห้องแถวเป็นเงิน 6,000 บาท จึงฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง ถ้าหากจะขับไล่จำเลยก็ขอให้ใช้ค่ารื้อ 6,000 บาท

โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้งของจำเลย และต่อสู้ว่า ได้ซื้อที่ดินจากนายกุนทรีโดยสุจริตไม่ทราบพฤติการณ์ระหว่างนายกล่ำ นางเองหรือนายกุนทรี จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่ารื้อถอน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า สัญญาโอนที่ดินระหว่างโจทก์กับนายกุนทรีเป็นไปโดยสุจริต จำเลยไม่มีสิทธิจะให้โจทก์ชดใช้ค่ารื้อถอนตามขอ เพราะจำเลยได้ปลูกห้องแถวโดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นที่ดินของผู้อื่น พิพากษาให้ขับไล่จำเลยกับบริวารรื้อถอนโรงเรือนของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไป ยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้ว ได้ความว่า โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้จากนายกุนทรี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2497 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยได้เช่าอยู่กับผู้ให้เช่าเดิม โจทก์นำสืบว่าได้รับซื้อโดยสุจริต แต่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่า โจทก์กับนายกล่ำนางเอง นายกุนทรี สมคบกันใช้สิทธิไม่สุจริตดังที่ต่อสู้ เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลยแล้วจำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ต่อไปได้ การที่จำเลยจะต้องสิ้นเปลืองเงินในการรื้อห้องแถวเท่าใดจะมาเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้แทนหาได้ไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว

จึงให้ยกฎีกาจำเลยโดยพิพากษายืน ให้จำเลยเสียค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์เป็นเงิน 100 บาท

Share