คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีเดิมมีประเด็นข้อพิพาทว่า กระถางต้นไม้และถังขยะที่จำเลยวางในทางพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิการใช้ทางของโจทก์หรือไม่ อันเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ แต่คดีเดิมศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างว่ากระถางต้นไม้และถังขยะที่จำเลยวางอยู่บนทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของบุคคลภายนอกที่โจทก์จำเลยใช้ร่วมกัน แต่โจทก์ไม่ได้นำบุคคลภายนอกมาสืบให้ศาลเห็นว่ายินยอมให้โจทก์ได้ใช้ที่ดินร่วมกับจำเลยหรือทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมอันถือได้ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาท ดังนั้นประเด็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่จึงยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อโจทก์ฟ้องเจ้าของทางพิพาทจนได้ทางพิพาทเป็นภารจำยอมแล้วจึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการที่จำเลยวางกระถางต้นไม้ ถังขยะ และทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในถังขยะซึ่งอยู่ในทางพิพาทเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ย่อมเป็นการพิจารณาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
ซอยพิพาทอันเป็นภารจำยอมที่โจทก์และจำเลยใช้ร่วมกันกว้างประมาณ5 เมตร จำเลยวางกระถางต้นไม้บนทางพิพาทใกล้ประตูรั้วบ้านจำเลยเป็นผลให้ทางแคบลงเหลือประมาณ 4 เมตร เป็นลักษณะเดียวกับที่โจทก์ก่อกระถางอิฐเป็นแนวเดียวกับตึกแถวที่อยู่ติดรั้วบ้านโจทก์ และเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์แล่นทับท่อระบายน้ำตรงทางพิพาท เมื่อโจทก์ยังคงขับรถยนต์แล่นเข้าออกได้เป็นปกติการกระทำของจำเลยในทางพิพาทเป็นการใช้สิทธิโดยปกตินิยม ส่วนการวางถังขยะไว้นอกบ้านเพื่อให้พนักงานเก็บขยะมาเก็บไปทิ้งเช่นเดียวกับคนทั่วไปถือปฏิบัติกัน เมื่อการวางถังขยะมิได้เกะกะกีดขวางทางเดินรถยนต์ ลักษณะของขยะก็มิได้น่ารังเกียจส่งกลิ่นเหม็นรบกวนแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยปกตินิยม ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนและขนย้ายสิ่งของออกไปจากทางภารจำยอม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายห้ามจำเลยเกี่ยวข้องหรือกระทำการใดอันเป็นการรบกวนการใช้ทางภารจำยอมของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 15,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายสิ่งของออกไปจากทางภารจำยอมแล้วเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยดำเนินการขนย้ายกระถางต้นไม้ถังขยะและสิ่งของอื่นที่วางไว้ในทางภารจำยอมพิพาทในที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 5133 ตำบลบางยี่ขัน อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครออกไปจากทางพิพาท และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาทนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 พฤษภาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายสิ่งของทั้งหมดออกไปเสร็จสิ้น กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์คำขออื่นให้ยก

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 7587/2539 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว ปัจจุบันโจทก์ได้ภารจำยอมในทางพิพาทจำเลยวางสิ่งของและทิ้งขยะในทางพิพาทตามฟ้องมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 7587/2539 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าในคดีหมายเลขแดงที่ 7587/2539ของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อพิพาทว่า กระถางต้นไม้และถังขยะที่จำเลยวางในทางพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิการใช้ทางของโจทก์หรือไม่ อันเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ แต่ในคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ว่าโจทก์อ้างว่ากระถางต้นไม้และถังขยะที่จำเลยวางอยู่บนทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของบุคคลภายนอกที่โจทก์และจำเลยใช้ร่วมกัน แต่โจทก์ไม่ได้นำบุคคลภายนอกมาสืบให้ศาลเห็นว่ายินยอมให้โจทก์ได้ใช้ที่ดินร่วมกับจำเลย หรือนำสืบว่าโจทก์ได้ใช้ที่ดินของบุคคลภายนอกจนตกเป็นภารจำยอมไปแล้ว อันถือได้ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะ มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาท ดังนั้น ประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่จึงยังมิได้วินิจฉัย ภายหลังจากนั้นโจทก์ฟ้องนายวุทธิ โพธิสุนทรเจ้าของทางพิพาทจนได้ทางพิพาทเป็นภารจำยอมแล้วจึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ ซึ่งจำเลยยังวางสิ่งของและทิ้งขยะในทางพิพาท เมื่อโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้วเช่นนี้การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยว่า การที่จำเลยวางกระถางต้นไม้ ถังขยะ และทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในถังขยะซึ่งอยู่ในทางพิพาทเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ย่อมเป็นการพิจารณาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีก อันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 7587/2539 ของศาลชั้นต้น

ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ และต้องใช้ค่าเสียหายหรือไม่ เพียงใด โจทก์นำสืบว่า จำเลยนำกระถางต้นไม้ ถังขยะ และสิ่งปฏิกูลไปวางไว้บนทางภารจำยอมพิพาท ทำให้กีดขวางทางรถยนต์ที่ต้องเลี้ยวเข้าบ้านของโจทก์ รถยนต์ต้องตีวงทำให้เข้าออกไม่สะดวก ขยะทำให้เสื่อมเสียสุขภาพและอนามัยของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายคิดค่าเสียหายเดือนละ15,000 บาท จำเลยนำสืบว่าจำเลยใช้ทางพิพาททำร่องระบายน้ำจากบ้านของจำเลยออกสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะตั้งแต่ปี 2520 ต่อมาปี 2530 จำเลยทำท่อระบายน้ำตามแนวร่องระบายน้ำเดิมแล้ว จำเลยนำกระถางต้นไม้วางเพื่อกันมิให้รถยนต์ทับท่อระบายน้ำและชนรั้วบ้านของจำเลย จำเลยทิ้งขยะบนทางพิพาทเพื่อให้สำนักงานเขตเก็บไปทุกวันมิได้ส่งกลิ่นรบกวน

พิเคราะห์แล้ว โจทก์และจำเลยต่างใช้ทางออกสู่ทางสาธารณะโดยต่างได้ทางภารจำยอมซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นยังได้ทางภารจำยอมอีกส่วนหนึ่งจากที่ดินของนายวุทธิ โพธิสุนทร อันเป็นทางพิพาทตามเอกสารหมาย จ.3 สรุปแล้วมีทางภารจำยอมทั้งหมด 3 ส่วน รวมกันเป็นซอยที่โจทก์และจำเลยใช้ร่วมกัน ทางพิพาทซึ่งกว้าง 1.20 เมตร ยาว 18.40 เมตร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของซอยดังกล่าว ซึ่งเมื่อคำนวณความกว้างของซอยนี้จากปากซอยถึงตรงที่ตั้งกระถางต้นไม้บนทางพิพาทตามแผนที่ท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความและแผนที่ท้ายฟ้องประกอบกับภาพถ่ายควรกว้างประมาณ 5 เมตร การที่จำเลยวางกระถางต้นไม้บนทางพิพาทบริเวณใกล้ประตูรั้วบ้านของจำเลยเป็นผลให้ทางดังกล่าวแคบลงเหลือความกว้างประมาณ 4 เมตร แต่แนวของถนนยังคงเป็นแนวเดิมตรงกับแนวทางจากด้านในซอยตามภาพถ่าย จ.5 ภาพที่ 1 ภาพที่ 5และภาพถ่ายหมาย ล.2 ภาพที่ 1 การวางกระถางต้นไม้ของจำเลยเป็นไปทำนองเดียวกับที่โจทก์ก่อกระถางอิฐเป็นแนวเดียวกับตึกแถวที่อยู่ติดประตูรั้วบ้านของโจทก์แต่ไม่ล้ำแนวถนนตามภาพถ่ายหมาย ล.2 ภาพที่ 1 และภาพที่ 3 ทั้งนี้จำเลยวางกระถางดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์แล่นทับท่อระบายน้ำตรงทางพิพาทซึ่งมีเหตุผลให้รับฟังได้ เมื่อพิจารณาภาพถ่ายหมาย ล.2 ภาพที่ 1 ประกอบภาพถ่ายหมาย จ.5 ภาพที่ 4 และภาพที่ 5 ทั้งโจทก์และจำเลยต่างมีบริเวณเข้าออกประตูรั้วบ้านของแต่ละฝ่ายเท่ากัน ซึ่งการขับรถยนต์เข้าออกในซอยลักษณะเช่นนี้เป็นธรรมดาที่ต้องใช้ความระมัดระวังกันอยู่แล้ว โจทก์ยังคงขับรถยนต์แล่นเข้าออกได้เป็นปกติ การใช้สิทธิของจำเลยในทางพิพาทเป็นปกตินิยม มิได้เป็นการจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์แต่อย่างใด ส่วนการวางถังขยะหรือเข่งสำหรับใส่ขยะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการนำขยะออกมาวางนอกบ้านเพื่อให้พนักงานเก็บขยะของสำนักงานเขตมาเก็บขยะไปทิ้งเช่นเดียวกับคนทั่วไปถือปฏิบัติกัน โจทก์เองก็ต้องนำขยะออกมาวางนอกบ้านเพื่อให้พนักงานเก็บขยะของสำนักงานเขตมาเก็บไปทิ้งให้เช่นเดียวกัน และการวางถังขยะและการนำขยะมาใส่ในถังก็มิได้เกะกะกีดขวางทางเดินรถยนต์ในซอยดังกล่าวแต่อย่างใด ลักษณะของขยะก็มิได้น่ารังเกียจส่งกลิ่นเหม็นรบกวนแต่อย่างใด อีกทั้งถังขยะก็วางอยู่ติดประตูรั้วบ้านของจำเลยมากกว่าประตูรั้วบ้านของโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยปกตินิยมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share