คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้ห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าและให้เช่าช่วง กับผิดนัดชำระค่าเช่าสองคราวติดกัน เพื่อแสดงว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ถือว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
จำเลยให้การว่าได้เช่าตึกแถวให้คนเช่ามีกำหนดเวลา แล้วยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กรรมสิทธิ์ในตึกแถวตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องทำพิธีจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก และเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเช่าตึกแถวรายพิพาทเป็นที่ผลิตสินค้าสำหรับจำหน่าย ภายหลังต่อมาได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่อย่างเดียว เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเช่าโดยผู้ให้เช่ามิได้ยินยอมด้วย ตึกแถวรายพิพาทจึงไม่เป็นเคหะควบคุม ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวรายพิพาทซึ่งโจทก์ได้รับกรรมสิทธิ์เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าที่ดินจากผู้เช่าที่ดินเพื่อสร้างตึกแถวให้เช่า จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทเพื่อใช้ประกอบธุรกิจการค้าแล้วเอาให้เช่าช่วงโดยไม่ได้รับอนุญาณ สัญญาเช่าได้สิ้นสุดลง โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว และจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าสองคราวติด ๆ กัน ขอให้ขับไล่
จำเลยสู้ว่า เช่าตึกแถวรายพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองกฎหมายไม่ได้ให้เช่าช่วง โจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่าไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้บรรยายถึงมูลกรณีอันเป็นสภาพแห่งข้อหาไว้โดยชัดแจ้ง เพื่อขอให้ศาลขับไล่จำเลยในเหตุที่จำเลยใช้ห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าและให้เช่าช่วง กับผิดนัดชำระค่าเช่าสองคราวติดกัน เพื่อแสดงว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.๒๕๐๔ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ แล้วโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในตึกรายพิพาทตามสัญญาโดยสมบูรณ์นับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดสัญญาเช่าโดยไม่ต้องทำพิธีจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาที่ว่า ตึกแถวรายพิพาทเป็นเคหะอันได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.๒๕๐๔ หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ใช้ตึกแถวรายพิพาทเป็นที่ผลิตสินค้าสำหรับจำหน่าย ภายหลังได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่อย่างเดียว เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเช่าโดยผู้ให้เช่ามิได้ยินยอมด้วย ตึกแถวรายพิพาทจึงไม่เป็นเคหะ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับสิ้นไป จำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ในตึกแถวรายพิพาท และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเรื่องเช่าช่วงกับเรื่องผิดนัดชำระค่าเช่า
ส่วนเรื่องค่าเสียหาย เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าครบอายุแล้ว โจทก์ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีอำนาจที่จะปรับปรุงค่าเช่าใหม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share