คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลักรถจักรยานยนต์โดยใช้ลูกกุญแจไขกุญแจรถซึ่งใส่ไว้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดาตาม มาตรา 334 ไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์โดยองค์ประกอบพิเศษตามมาตรา 335(3) เพราะกุญแจรถที่ใส่ไว้ไม่ใช่สิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์เหมือนเช่นรั้วหรือลูกกรงหน้าต่างประตู ทั้งการไขกุญแจก็หาใช่เป็นการทำอันตรายแก่ตัวกุญแจอันจะเข้าเกณฑ์ตามอนุบัญญัติดังกล่าวไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจลักรถจักรยานยนต์ของจ่าสิบตำรวจสุรพลผู้เสียหาย โดยใช้ลูกกุญแจไขกุญแจรถซึ่งเป็นสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ ต่อมาจำเลยถูกจับได้พร้อมด้วยกุญแจของกลาง 9 ดอก และอุปกรณ์รถอื่น ๆ ทั้งนี้จำเลยบังอาจลักรถดังกล่าวไปหรือมิฉะนั้นก็รับไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3), 357 และให้คืนหรือใช้ราคา 9,370 บาทแก่ผู้เสียหาย ริบกุญแจของกลางและนับโทษจำเลยติดต่อกับคดีอื่น ๆ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยลักรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายโดยไขกุญแจรถที่ใส่ไว้อันถือว่าเป็นสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์เข้าลักษณะความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) พิพากษาจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 4 ปี ให้คืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายริบของกลาง และนับโทษต่อจากคดีแดงที่ 233, 318 และ 412/2510 ยกข้อหาฐานรับของโจร

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงยืนตามศาลชั้นต้นแต่วินิจฉัยว่ากุญแจรถจักรยานยนต์ที่ใส่ไว้นั้นไม่ใช่สิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ กรณีจึงไม่เข้าเกณฑ์ความผิดตามมาตรา 335(3) คงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 335(3)

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากุญแจที่ใส่รถจักรยานยนต์มิใช่สิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ เพราะกุญแจรถไม่มีลักษณะเป็นสิ่งกีดกั้นเหมือนเช่นรั้วหรือลูกกรงหน้าต่าง ประตูบ้าน ทั้งการไขกุญแจก็หาใช่เป็นการทำอันตรายแก่กุญแจไม่ กรณีไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) พิพากษายืน

Share