คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เป็นที่สาธารณะและที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
ที่พิพาทหมาย 1 เป็นหนองที่ราษฎรร่วมกันซื้อจากมารดาโจทก์ส่วนที่หมาย 2, 3 เป็นที่ที่ ม. ยกให้เป็นที่สาธารณะทำเลเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ปี 2465 เมื่อราษฎรซื้อและรับยกให้แล้ว ราษฎรเข้าครอบครองใช้ที่พิพาทเป็นประโยชน์ร่วมกันตลอดมา กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการสละเจตนาครอบครองโดยส่งมอบทรัพย์ที่ครอบครองแล้ว นับแต่รับมอบที่พิพาทแล้วราษฎรเป็นจำนวนร้อย ๆ ได้ร่วมกันทำทำนบกั้นน้ำประตูระบายน้ำ ขุดลอกหนอง โดยถือว่าเป็นที่สาธารณะที่ราษฎรได้ใช้เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้หนองและที่พิพาทหมาย 1, 2, 3เป็นหนองและทำเลเลี้ยงสัตว์ที่ราษฎรใช้ร่วมกันมาเป็นเวลาสิบ ๆ ปีแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 และการเป็นหนองสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น กฎหมายไม่บังคับว่าต้องขึ้นทะเบียน เพราะจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ย่อมเป็นไปตามสภาพของที่นั้นเองว่าเป็นทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 117, 122บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอที่จะต้องรักษาดูแลที่ดินลำน้ำอันเป็นสาธารณประโยชน์ได้ ไม่ให้ผู้ใดทำให้เสียหายหรือกีดกันเอาเป็นอาณาประโยชน์แต่เฉพาะตัว จำเลยในฐานะนายอำเภอจึงมีอำนาจสั่งห้ามโจทก์ไม่ให้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ ตลอดจนมีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนองผือเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่ใช่หนองสาธารณะ ให้จำเลยที่ ๒, ๓ ในฐานะเจ้าพนักงานหน้าที่แก้ไขแบบแจ้งการครอบครองที่นาหนองผือและหนองผือของโจทก์ให้ถูกต้อง ฯลฯ
จำเลยให้การว่า หนองผือเป็นหนองสาธารณะ ฯลฯ ฟ้องแย้งขอให้ศาลขับไล่โจทก์ออกจากหนองผือ และสั่งโจทก์ทำลายคันนา ฯลฯ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สิ่งก่อสร้างตามฟ้องแย้งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาท คำขอตามฟ้องแย้งข้ออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ประเด็นแรกที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่ให้โจทก์นำสืบก่อนไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่เป็นของโจทก์เป็นที่สาธารณะและที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
ประเด็นต่อไปที่โจทก์ฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ครอบครองมาและไม่ใช่เป็นที่สาธารณะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีฟังได้ชัดว่า ที่พิพาทตามแผนที่กลางหมาย ๑ เป็นหนองที่ราษฎรตำบลนาเมืองร่วมกันซื้อมาจากมารดาโจทก์ ส่วนที่หมาย ๒, ๓ เป็นที่นายมายกให้เป็นที่สาธารณะทำเลเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ปี ๒๔๖๕
เมื่อราษฎรซื้อและรับยกให้แล้ว ราษฎรเข้าครอบครองใช้ที่พิพาทเป็นประโยชน์ร่วมกันตลอดมา กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการสละเจตนาครอบครองโดยส่งมอบทรัพย์ที่ครอบครองแล้ว นับแต่มอบที่พิพาทแล้วราษฎรเป็นจำนวนร้อย ๆ ได้ร่วมกันทำทำนบกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ ขุดลอกหนองปลูกต้นไม้ ลงหลักปักเขตเป็นแนวเขตตลอดทำนบ โดยถือว่าเป็นที่สาธารณะที่ราษฎรได้ใช้เป็นประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้กรมพัฒนาชุมชนยังได้มอบเงิน ให้ทางอำเภอจัดการบูรณะซ่อมแซมปรับปรุงหนองเพื่อให้กักน้ำไว้ให้ราษฎรใช้ร่วมกันได้ตลอดปี ศาลฎีกาเชื่อว่าหนองผือที่พิพาทตามแผนที่กลางหมาย ๑, ๒, ๓ เป็นหนองและทำเลเลี้ยงสัตว์ที่ราษฎรตำบลนาเมืองใช้ร่วมกันมาเป็นเวลาสิบ ๆ ปีแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ และเห็นว่าการเป็นหนองสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องขึ้นทะเบียนไว้ เพราะจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามสภาพของที่นั้นเองว่าเป็นทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
ส่วนปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแย้งของจำเลยนั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๑๑๗, ๑๒๒ บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอที่จะต้องรักษาดูแลที่ดินลำน้ำอันเป็นสาธารณประโยชน์ได้ ไม่ให้ผู้ใดทำให้เสียหายหรือกีดกันเอาเป็นอาณาประโยชน์แต่เฉพาะตัว จำเลยในฐานะนายอำเภอจึงมีอำนาจสั่งห้ามโจทก์ไม่ให้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ตลอดจนมีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ได้ด้วย
พิพากษายืน

Share