แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีความเห็นแย้งบันทึกไว้ในฎีกาว่า ‘สภาพที่ฝ่ายหนึ่งตายไป ฝ่ายจำเลยน่าจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการป้องกันตัว ซึ่งเป็นภาระพิสูจน์อันเป็นทฤษฎีที่โต้เถียงกัน ควรส่งให้ศาลสูงพิจารณา จึงรับฎีกานี้’ บันทึกนี้มิได้แสดงว่าข้อความที่ตัดสินมาเป็นปัญหาสำคัญมิได้แสดงว่าผู้พิพากษาผู้ทำความเห็นแย้งอนุญาตให้ฎีกา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จึงรับฎีกาไว้พิจารณาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ซึ่งเป็นบิดามารดานายแก้ว ศรีเผือก ผู้ตาย ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้อาวุธปืน ยิงนายแก้วตายโดยเจตนาด้วยการไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า การที่จำเลยยิงผู้ตายนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายพอสมควรแก่เหตุจำเลยไม่มีความผิดให้ยกฟ้อง แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า ควรลงโทษ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีความเห็นแย้งบันทึกไว้ว่า “สภาพที่ฝ่ายหนึ่งตายไป ฝ่ายจำเลยน่าจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการป้องกันตัว ซึ่งเป็นภาระพิสูจน์ว่าเป็นทฤษฎีที่โต้เถียงกัน ควรส่งให้ศาลสูงพิจารณา จึงรับฎีกานี้” บันทึกนี้มิได้แสดงว่า ข้อความที่ตัดสินมาเป็นปัญหาสำคัญ มิได้แสดงว่าผู้พิพากษาผู้ทำความเห็นแย้งอนุญาตให้ฎีกา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เมื่อเป็นดังนี้จะรับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณามิได้ จึงไม่รับฎีกาโจทก์ให้ยกเสีย