คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรวมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกันและและแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันดำเนินกิจการค้าเป็นผู้รับขนส่งสินค้าทางทะเล เป็นผู้ครอบครองและร่วมกันและแทนกันในการบังคับบัญชาเรือชื่ออเมริกันมิ้งได้ร่วมกันและแทนกันออกใบตราส่งสินค้า ใบส่งสินค้าให้แก่ผู้ส่งและผู้รับสินค้าอันเป็นส่วนหนึ่งของกิจการรับขนสินค้าทางทะเล

จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันประกอบกิจการค้าเป็นผู้รับประกันภัยทางทะเลโจทก์สั่งซื้อเครื่องยนต์ใช้แล้วจากประเทศสิงคโปร์ ผู้ขายได้ส่งสินค้าให้โจทก์โดยเรืออเมริกันมิ้งจำนวนสินค้า 42 หีบห่อ เมื่อเรืออเมริกันมิ้งเข้าเทียบท่าเรือกรุงเทพขนถ่ายสินค้าโจทก์ในฐานะผู้รับการสลักหลังใบตราส่งและเป็นผู้รับตราส่งสินค้า ได้เรียกให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ส่งมอบสินค้าให้โจทก์ ปรากฏว่าสินค้าได้สูญหายไปหมด สินค้าทั้งหมดได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 และระบุให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยจำเลยที่ 4 โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ราคา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ยินยอมโจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ราคาสินค้าแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ชดใช้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ เฉพาะจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นได้สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 3 ให้การว่าจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอินเดีย ไม่มีสำนักงานสาขาหรือที่ตั้งทำการงานในประเทศไทย และมิได้เป็นผู้รับประกันภัยทางทะเลร่วมกับจำเลยที่ 4

จำเลยที่ 4 ให้การว่ามิได้ร่วมกันและแทนกันกับจำเลยที่ 3 ประกอบกิจการรับประกันภัยทางทะเล จำเลยที่ 4 มิได้ลงนามในสัญญาประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันและแทนกันในการประกอบกิจการขนส่งทางทะเล และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันและแทนกันในการประกอบกิจการรับประกันภัยทางทะเล การร่วมกันและแทนกันดังกล่าวเป็นกิจการที่นิติบุคคลสองฝ่ายร่วมทุนหรือเป็นหุ้นส่วนอันไม่จดทะเบียน ผู้เป็นหุ้นส่วนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน และถือได้ว่ามีภูมิลำเนาแห่งเดียวกัน เมื่อกิจการที่ร่วมกันกระทำมีที่ทำการในประเทศไทย ก็ต้องถือว่าผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีภูมิลำเนาในประเทศไทยในส่วนของกิจการค้านั้น จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีภูมิลำเนาในประเทศไทยเพราะเป็นหุ้นส่วนอันไม่จดทะเบียนกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ตามลำดับ โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 ได้เข้าต่อสู้คดี เป็นการยอมรับอำนาจของศาลไทย ศาลไทยจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ได้

ศาลฎีกาเห็นว่า การร่วมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้ แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกันและแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างไรก็ตาม แม้จะถือตามฎีกาโจทก์ว่า เป็นการร่วมทุนหรือหุ้นส่วนอันไม่จดทะเบียนเป็นกิจการใหม่ที่ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล แต่จำเลยทั้งสี่ต่างก็มีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศ ไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย จำเลยที่ 1 ที่ 3 ก็ไม่อาจมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามาแต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 เสียแล้ว ก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้

ส่วนในประเด็นที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันประกอบกิจการประกันภัยสินค้าทางทะเล จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทุกประการนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด และกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย ข้อเท็จจริงได้ความว่า สาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้ารายนี้ และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในประเด็นอื่นต่อไป ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share