คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5916/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยและจำเลยร่วมยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งมาผูกติดไว้กับสำนวนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ทนายจำเลยและทนายจำเลยร่วมซึ่งเป็นคนเดียวกันได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอเลื่อนคดีอ้างว่าต้องตรวจสอบเอกสารหลายฉบับในสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวซึ่งต้องใช้เวลา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยต่อวันที่ 9 ธันวาคม 2542 เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลย เจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งมาผูกไว้ในคดีนี้ จำเลยและจำเลยร่วมทราบแล้วก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จสิ้นและแถลงติดใจสืบพยานจำเลยเพียงเท่านี้ จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในวันที่ 30 ธันวาคม 2542 การที่จำเลยและจำเลยร่วมมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง ดังนั้น ข้อที่ว่าศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งมาผูกติดไว้ทำให้จำเลยและจำเลยร่วมไม่มีโอกาสใช้สำนวนดังกล่าวซักค้านพยานโจทก์เป็นการพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินที่กู้ยืมจากโจทก์ พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณานายประกอบ สุพัฒน์ ยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน กับให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วม แต่ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๖๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมที่อ้างว่าศาลชั้นต้นมิได้สั่งเจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๓๔/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้นมาผูกติดกับสำนวนนี้ ทำให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมไม่มีโอกาสใช้สำนวนดังกล่าวซักค้านพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยได้ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นต้นทั้งหมด ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ใหม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๓ วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง จึงไม่รับวินิจฉัยให้ และพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงตามสำนวนว่าในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยต่อจากนัดที่ผ่านมา จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๓๔/๒๕๔๐ มาผูกติดไว้กับสำนวนคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตในวันเดียวกันนี้ ทนายจำเลยที่ ๑ และทนายจำเลยร่วมซึ่งเป็นคนเดียวกันได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอเลื่อนคดีอ้างว่าต้องตรวจสอบเอกสารหลายฉบับในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๓๔/๒๕๔๐ ซึ่งต้องใช้เวลา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยต่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๒ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยดังกล่าว เจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๓๔/๒๕๔๐ มาผูกไว้ในคดีนี้ ซึ่งจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมทราบแล้วว่ามิได้มีการนำสำนวนดังกล่าวมาผูกติดไว้ตามคำแถลงที่ยื่นไว้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านที่มิได้มีการนำสำนวนตามที่ขอมาผูกไว้ในคดีนี้ว่าเป็นการมิชอบ ทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จสิ้น และแถลงติดใจสืบพยานจำเลยเพียงเท่านี้ จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๒ จากพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วเห็นว่าจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ วรรคสอง แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ไม่รับวินิจฉัยให้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๖๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share