แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์นำสืบว่า ห. พวกของจำเลยหลอกลวงสามีโจทก์บุตรโจทก์และบุคคลอื่น ๆ ว่าสามารถจัดส่งบุคคลดังกล่าวไปทำงาน ที่ประเทศญี่ปุ่นได้ โดยเรียกเก็บเงินค่านายหน้าจัดหางานโจทก์ไม่มีเงิน พวกของจำเลยจึงให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่ จำเลยในราคาเท่ากับจำนวนค่านายหน้า โดยโจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญา เมื่อ ห. ไม่สามารถส่งคนไปทำงานตามที่อวดอ้างไว้ได้โจทก์ได้บอกล้างสัญญาขายฝากแล้วโจทก์และสามีโจทก์ให้พวกของจำเลยไปนำโฉนดที่ดินคืนมา แต่มิได้ดำเนินการให้นอกจากเป็นการนำสืบถึงที่มาหรือมูลเหตุแห่งการทำสัญญาขายฝากแล้ว ยังเป็นการนำสืบว่าสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์ด้วยมิใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15361 เนื้อที่ 37 ไร่ 77 ตารางวา เมื่อวันที่28 กรกฎาคม 2535 จำเลยกับพวกทำกลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยกับพวกสามารถส่งบุตรชายโจทก์ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้โดยโจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยกับพวกเป็นค่านายหน้าและค่าใช้จ่ายหากไม่มีเงินก็ให้ทำสัญญาขายฝากที่ดินแก่จำเลยโจทก์หลงเชื่อจึงตกลงให้บุตรชายโจทก์ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นแต่โจทก์ไม่มีเงินจึงทำนิติกรรมขายฝากที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยเป็นเงิน 380,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี ครบกำหนดในวันที่28 กรกฎาคม 2536 โดยโจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญาแต่อย่างใดหลังจากทำสัญญาขายฝากแล้วจนบัดนี้จำเลยกับพวกก็ยังมิได้ส่งบุตรชายโจทก์ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสดงเจตนาหลอกลวงโจทก์เพื่อให้ทำนิติกรรมขายฝากที่ดินแก่จำเลยโดยโจทก์ไม่ได้รับเงินจากจำเลย โจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมแล้วนิติกรรมการขายฝากจึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าสัญญาขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยฉบับลงวันที่28 กรกฎาคม 2535 เป็นโมฆะและเพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินกับให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินและไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 15361 ตำบลพันชนะ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 380,000 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์นำที่ดินมาขายฝากไว้แก่จำเลยจำนวน 380,000 บาท โดยสมัครใจและได้รับเงินจากจำเลยเต็มตามจำนวนแล้ว จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์ สัญญาขายฝากไม่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 15361 ตำบลพันชนะอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างโจทก์กับจำเลยให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหากไม่สามารถโอนที่ดินคืนโจทก์ได้ให้จำเลยใช้เงิน 380,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบไม่โต้เถียงกันว่า นายเหรียญหรือเหรียญชัยและนางคำปุ้ย บุญมี กับพวกหลอกลวงนายจิตต์ พาขุนทด สามีโจทก์และนายชำนาญ พาขุนทด บุตรชายโจทก์ให้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งจะได้เงินเดือนเดือนละประมาณ 50,000 ถึง 60,000 บาท สามีโจทก์และบุตรชายโจทก์ตกลงไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นตามที่บุคคลดังกล่าวหลอกลวง โดยจะต้องเสียค่าตอบแทนเป็นค่านายหน้าจัดหางานรวม 380,000 บาท แต่โจทก์ไม่มีเงินนายเหรียญและนางคำปุ้ยให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่นายทุน ซึ่งต่อมานางน้อยเป็นผู้ติดต่อให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่จำเลยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยว่า การที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้รับเงินค่าขายฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.3 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาสาขาด่านขุนทด ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ต่อหน้าเจ้าพนักงานที่ดินโดยสัญญาดังกล่าวระบุไว้ว่า ผู้ขายฝากได้รับเงินจากผู้รับซื้อฝากจำนวน380,000 บาท เป็นการเสร็จแล้ว การที่โจทก์นำสืบว่าไม่ได้รับเงินจากจำเลย เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)นั้น โจทก์นำสืบว่า นายเหรียญและนางคำปุ้ยพวกของจำเลยหลอกลวงสามีโจทก์ บุตรชายโจทก์และบุคคลอื่น ๆ อีกหลายคนว่าสามารถจัดส่งบุคคลดังกล่าวไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้โดยเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนเป็นค่านายหน้าจัดหางานคนละ220,000 บาท แต่ของสามีโจทก์และบุตรชายโจทก์ 2 คน คิดรวม 380,000 บาท โจทก์ไม่มีเงิน พวกของจำเลยจึงให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่จำเลยในราคาเท่ากับจำนวนเงินที่จะต้องชำระค่านายหน้าจัดหางานแก่พวกของจำเลยโดยโจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญาแต่อย่างใด เมื่อปรากฏต่อโจทก์ในภายหลังว่าความจริงนายเหรีญและนางคำปุ้ยไม่สามารถส่งคนไปทำงานตามที่อวดอ้างไว้ได้ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาขายฝากแล้วโจทก์และสามีโจทก์จึงให้พวกของจำเลยไปนำโฉนดที่ดินคืนมา แต่พวกของจำเลยมิได้ดำเนินการให้ เห็นว่า ข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าวนอกจากเป็นการนำสืบถึงที่มาหรือมูลเหตุแห่งการทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยแล้ว ยังเป็นการนำสืบว่าสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์ด้วย มิใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารที่กฎหมายบังคับว่าจะต้องมีมาแสดง จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน