คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยทั้งสามออกเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 ชำระหนี้แก่โจทก์จะเป็นความผิดหรือไม่ แม้ในชั้นฎีกาผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อนุญาตให้ฎีกาก็ตามโจทก์ก็ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วเท่านั้นส่วนปัญหานอกนั้นถือได้ว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำนวนเงินกู้ตามสัญญากู้ มีการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดรวมอยู่ด้วย โดยตามคำฟ้องของโจทก์ก็มิได้แยกบรรยายว่าจำนวนเงินต้นเท่าใด และส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเท่าใดจำนวนเงินกู้ดังกล่าวจึงไม่อาจแยกเงินต้นและดอกเบี้ยออกจากกันได้ เช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ให้ทั้งสามฉบับซึ่งมีเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 รวมอยู่ด้วยก็มิได้แยกว่าเช็คฉบับใดชำระเงินต้นและเช็คฉบับใดชำระดอกเบี้ย จึงต้องถือว่าเช็คทุกฉบับเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เมื่อปรากฏว่าจำนวนดอกเบี้ยที่เรียกเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและตกเป็นโมฆะฟ้องบังคับได้ การที่จำเลยออกเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2536 จำเลยทั้งสามร่วมกันออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาบางจาก3 ฉบับ สั่งจ่ายเงิน 100,000 บาท 279,554 บาท และ 245,685 บาทตามลำดับ เช็คทั้งสามฉบับ ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2536 มีจำเลยที่ 2และที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1แล้วนำมาชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองเจือรัมมะวิทย์ ยืมไปจากโจทก์โดยมีสัญญากู้ยืมเงินเป็นหลักฐานเมื่อเช็คทั้งสามฉบับถึงกำหนด แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสามฉบับเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2536 จำเลยทั้งสามออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คทั้งสามฉบับ เหตุเกิดที่แขวงบางจากเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยทั้งสามออกเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 ชำระหนี้แก่โจทก์จะเป็นความผิดหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่า จำนวนเงินกู้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 มีการรวมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนเข้ากับเงินต้น อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3โดยศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยว่า จำนวนเงินกู้ดังกล่าวแล้วเป็นเงินต้นเท่าใดและเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้เท่าใดแม้ในชั้นฎีกาผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาก็ตาม โจทก์ก็ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วเท่านั้น ส่วนปัญหานอกนั้นถือได้ว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่า ที่จำเลยทั้งสามออกเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามจะมีความผิดหรือไม่จากข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เห็นว่าจำนวนเงินกู้ทั้งหมดตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 มีจำนวนดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ซึ่งเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายรวมอยู่ด้วย โดยตามคำฟ้องของโจทก์ก็มิได้แยกบรรยายว่าจำนวนเงินต้นเท่าใด และส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเท่าใด จำนวนเงินกู้ดังกล่าวจึงไม่อาจแยกเงินต้นและดอกเบี้ยออกจากกันได้ เช็คที่จำเลยทั้งสามออกชำระหนี้ให้ทั้งสามฉบับซึ่งมีเช็คเอกสารหมายจ.4 และ จ.6 รวมอยู่ด้วยก็มิได้แยกว่าเช็คฉบับใดชำระเงินต้นและเช็คฉบับใดชำระดอกเบี้ย จึงต้องถือว่าเช็คทุกฉบับเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เมื่อปรากฏว่าจำนวนดอกเบี้ยที่เรียกเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและตกเป็นโมฆะฟ้องบังคับมิได้ การที่จำเลยทั้งสามออกเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share