คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต้นยางพารา โดยให้โจทก์เข้าตัดโค่นไม้ยางพาราหรือให้จำเลยคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์คดีแพ่งดังกล่าวจึงยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยหรือไม่ และแม้หากจะฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิเข้าตัดโค่นต้นยางพาราตามสัญญาก็ตาม โจทก์ก็ต้องชำระราคาที่เหลือให้จำเลย โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้เพียงไม่เกินค่าเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องกับเงินมัดจำที่จะได้คืน ซึ่งน้อยกว่าทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่มากการที่ภายหลังจำเลยขายที่ดินและต้นยางพาราให้บุคคลอื่นจึงยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันจะมีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 938/2530 ของศาลชั้นต้นขอให้บังคับจำเลยตามคำขอท้ายฟ้อง 2 ข้อ ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.3 จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ตามคำให้การและฟ้องแย้ง เอกสารหมาย จ.5ระหว่างพิจารณาจำเลยได้โอนขายที่ดินและต้นยางพาราให้แก่บุคคลอื่นไปที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นหนี้ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 เพราะเป็นผู้ฟ้องบังคับให้จำเลยยอมให้โจทก์ตัดโค่นต้นยางพาราตามสัญญาจะซื้อจะขายไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาก่อนการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350คดีโจทก์จึงมีมูลนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต้นยางพาราหรือให้คืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.3 จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ด้วยเห็นได้ชัดว่า คดีแพ่งดังกล่าว ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยหรือไม่ ทั้งปรากฏในคำแก้ฎีกาว่า เมื่อวันที่30 ธันวาคม 2531 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ อย่างไรก็ตามแม้จะฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ตัดโค่นต้นยางพาราตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ โจทก์ก็ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ 295,000 บาทให้จำเลยตามสัญญา โจทก์จะได้ผลประโยชน์หรือเป็นเจ้าหนี้เพียงไม่เกิน 50,000 บาทตามที่โจทก์ขอเป็นค่าเสียหายในคำขอท้ายฟ้อง เมื่อรวมกับเงินมัดจำที่จะได้คืน 5,000 บาท เป็นจำนวน 55,000 บาท ก็ยังน้อยกว่าทรัพย์สินที่จำเลยยังมีอยู่ ซึ่งมีราคาเป็นแสนบาท การที่จำเลยขายที่ดินและต้นยางพาราให้บุคคลอื่นยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันจะมีมูลความผิดตามฟ้องศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share