คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวันนัดสืบพยาน แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วจริงหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยคดีนี้จึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วคู่ความเดียวกันมารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ทั้งมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ให้ต้องชำระหนี้แก่จำเลยตามที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา หากโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริงโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งผูกพันโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย ก่อนศาลพิพากษาโจทก์จดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ถ-4232 (ที่ถูก ก-4232) ศรีสะเกษ ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่จำเลยไม่เบิกความถึงการชำระหนี้ ศาลจึงพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้อีก ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนำออกขายทอดตลาด โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดี แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปแล้ว ให้งดการบังคับคดี และให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์ในคดีดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนโอนรถยนต์ตามฟ้องเพื่อตีใช้หนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการตีใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีอื่นซึ่งฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น จำเลยยังมิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต เพื่อประวิงการบังคับคดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมจำเลยยื่นฟ้องโจทก์กับพวก คืนนางม้วน และนางสมสมรเพื่อบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน โจทก์กับพวกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ให้โจทก์ชำระเงิน 61,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 60,000 บาท นับถัดจากวันที่ 17 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ชำระ ให้นางม้วนและนางสมสมรชำระแทน ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางม้วน และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางสมสมร เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์จึงมายื่นฟ้องคดีนี้
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุในคำร้องและนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวันนัดสืบพยาน โดยจำเลยให้นายสุรศักดิ์ พี่ชายจำเลย เป็นผู้มารับรถยนต์ไป แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริง โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับตามคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share