คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6193/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 1476 (4) มุ่งหมายให้การให้กู้ยืมเงินเป็นนิติกรรมที่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายในการจัดการสินสมรส การกู้ยืมเงินมิใช่ให้กู้ยืมเงินจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
การบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหากมิใช่หนี้ร่วม เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับคดีได้เพียงสินสมรสในส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิได้กระทบกระเทือนสินสมรสในส่วนของคู่สมรสของลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีแก่ที่ดินสินสมรส จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมสัญญากู้ยืมระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากับลูกหนี้ตามคำพิพากษา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 36231 เป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีภริยากัน เมื่อเดือนมีนาคม 2546 โจทก์ได้รับหมายเรียกของศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 178/2545 ซึ่งแจ้งให้โจทก์ส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อศาล โจทก์ไปขอตรวจดูสำนวนจึงได้ทราบความจริงว่าในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน และศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงมีการบังคับคดีเพื่อขายทอดตลาดที่ดินโฉนดดังกล่าว โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดไว้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 2 โดยระบุในสัญญาว่า ได้นำโฉนดที่ดินอันเป็นสินสมรสดังกล่าวไปให้จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์นั้น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และเป็นนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะลายมือชื่อในช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 แต่เป็นลายมือชื่อปลอม สัญญากู้ยืมจึงเป็นเอกสารปลอม ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 400,000 บาท ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า นิติกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจะไม่สมบูรณ์ก็เป็นเรื่องของจำเลยทั้งสอง และมิได้เกี่ยวข้องกับสินสมรสของโจทก์ เพราะมิใช่นิติกรรมอันเกี่ยวกับการจัดการสินสมรส โจทก์มิได้มีส่วนได้เสียในนิติกรรมและมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิ พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า นิติกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยทั้งสองนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสของโจทก์ที่ต้องจัดการร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 บัญญัติว่า สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
(4) ให้กู้ยืมเงิน
บทบัญญัติมาตรานี้มุ่งหมายให้การให้กู้ยืมเงินเป็นนิติกรรมที่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในการจัดการสินสมรส ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ไปกู้ยืมเงินจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องกู้ยืมเงินมิใช่ให้กู้ยืมเงิน กรณีจึงหาต้องด้วยมาตรา 1476 ไม่
ที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 36231 ตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเอกสารสำคัญในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 178/2545 ซึ่งศาลได้มีหมายเรียกแจ้งให้โจทก์นำส่งต้นฉบับต่อศาลเพื่อบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ซึ่งหากให้โจทก์นำส่งโฉนดที่ดินตามคดีดังกล่าวต่อศาลตามคำสั่งแล้ว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า การบังคับคดีในคดีแพ่งหมายแดงที่ 178/2545 นั้น หากโจทก์มิได้เป็นหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 การบังคับคดีก็หาอาจกระทบกระเทือนสิทธิโจทก์ได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 2 จะบังคับคดีได้เพียงสินสมรสในส่วนของจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้กระทบกระเทือนสินสมรสในส่วนของโจทก์ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share