แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เดิมที่ดิน ส.ค.1 เป็นของ ฮ.ต่อมาฮ. ได้แบ่งให้บุตรทั้งสามคือ ภริยาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กับ ก. คนละ 1 ไร่เศษแล้วต่างเสนอขอตัดปลูก จำเลยที่ 2 ย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาทตามส่วนของตนแล้ว การที่ ก. แจ้งการครอบครองที่ดินตามแบบ ส.ค.1โดยลงชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองเพียงผู้เดียวไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ ก. เกินส่วนของตนที่มีสิทธิอยู่ และที่ ก. ทำสัญญาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังคงมีสิทธิครอบครองที่พิพาทขายฝากกับทำหนังสือสัญญาส่งมอบการครอบครองที่ดิน ส.ค.1แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอม การโอนการครอบครองโดยการส่งมอบย่อมสมบูรณ์เฉพาะส่วนของ ก. ไม่มีผลถึงสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยทั้งสองยังคงมีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณา โดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรก เป็นจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยสำนวนที่สอง เป็นจำเลยที่ 2 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินส.ค.1 โดยนายเซ็งกุ่ย แซ่ลิ้มหรือเพียรสกุลชัย เจ้าของเดิมได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2523จำเลยทั้งสองได้อาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว ต่อมาปลายปี 2525โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ หากไม่ยอมรื้อถอนขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายคนละ 1,000 บาท ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค.1 และไม่เคยให้จำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินตามฟ้องที่พิพาทเดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งเป็นของจำเลยที่1 ที่ 2 และนายเช็งกุ่ย แซ่ลิ้ม รวมกัน โดยนายเช็งกุ่ยเป็นผู้แจ้งการครอบครองแทนจำเลยทั้งสอง เมื่อประมาณ 30 ปีมานี้จำเลยทั้งสองและนายเช็งกุ่ยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินออกเป็นสัดส่วนจำเลยที่ 1 ได้ทางด้านทิศใต้ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ จำเลยที่ 2ได้ทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ นายเช็งกุ่ยได้ทางทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ ต่างได้ปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินส่วนของตนและได้ครอบครองเป็นสัดส่วนเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยความสงบ เปิดเผยมากว่า 30 ปีแล้ว นายเช็งกุ่ยไม่มีสิทธินำเอาที่ดินส่วนของจำเลยทั้งสองไปขายและมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ และโจทก์ทราบอยู่ก่อนซื้อที่ดินจากนายเช็งกุ่ยว่าที่ดินพิพาทและบ้านของจำเลยทั้งสองปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนางเฮียะ แซ่ลิ้ม นางเฮียะได้ยกที่ดินของตนทั้งหมดให้นายกุ่ยหรือเช็งกุ่ย แซ่ลิ้มซึ่งเป็นบุตร นายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยได้แจ้งการครอบครองตามเอกสารหมาย จ.1 และได้ขายฝากไว้กับโจทก์ต่อมาได้ทำหนังสือส่งมอบการครอบครองที่พิพาทแก่โจทก์ตามเอกสารหมายจ.2 จำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายกุ่ยหรือเช็งกุ่ย ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่พิพาทนั้น โจทก์เบิกความว่า รู้จักกับนายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยตอนเป็นเด็กเพราะเรียนหนังสือมาด้วยกัน เคยไปที่บ้านนายกุ่ยหรือเช็งกุ่ย เห็นมีบ้านอยู่ 4 หลัง เมื่อปี 2521นายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยได้มาขอยืมเงินโจทก์ ได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินตาม ส.ค.1 ไว้กับโจทก์ นายมงคล อุดมประเสริฐ เบิกความว่า ก่อนโจทก์ทำสัญญารับซื้อฝากที่พิพาท โจทก์ได้ให้พยานไปดูที่ดินที่จะขายฝากแทนโจทก์ เห็นมีบ้านอยู่ 3 หลัง นายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยบอกว่าเป็นบ้านญาติได้ขออาศัยอยู่ แต่พยานตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า หลังจากนางเฮียะมารดานายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยถึงแก่กรรม เห็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท บ้านดังกล่าวปลูกมาประมาณ 30 ปีแล้ว คำเบิกความของนายมงคลเจือสมข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองที่ว่านางเฮียะได้แบ่งที่ดินให้นางว่วยเช็งภริยาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยคนละ 1 ไร่เศษ และต่างได้ปลูกบ้านอยู่เป็นสัดส่วน ต่างได้ครอบครองที่ดินมาเกินกว่า 30 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 ย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท ในปี 2498 แม้นายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยได้ไปแจ้งการครอบครอง โดยลงชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองเพียงผู้เดียวก็ตาม การแจ้งการครอบครองที่ดินตามแบบ ส.ค.1 ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งเกินส่วนของตนที่มีสิทธิอยู่แต่อย่างใด และที่นายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยทำสัญญาขายฝากที่ดินตาม ส.ค.1 ทำหนังสือสัญญาส่งมอบการครอบครองที่ดินตาม ส.ค.1 แก่โจทก์ตามเอกสารหมายจ.2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอม การโอนการครอบครองโดยการส่งมอบสมบูรณ์เฉพาะส่วนของนายกุ่ยหรือเช็งกุ่ยเท่านั้นไม่มีผลถึงสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่อย่างใด จำเลยทั้งสองยังคงมีสิทธิครอบครองที่พิพาท”
พิพากษายืน