คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4591/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปีเศษ มีภริยาแล้ว พาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงอายุ 12 ปี 11 เดือนเศษ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ตกเย็นก็พากันเข้าพักนอนในโรงแรมห้องและเตียงเดียวกัน แม้จำเลยเพียงแต่จับมือถือแขนมิได้กอดจูบผู้เสียหาย แต่ก็ได้ความว่าเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันได้แยกพักที่โรงแรมคนละคู่และแต่ละคู่ต่างเป็นคนรักกันเช่นเดียวกับผู้เสียหายกับจำเลย แสดงว่าเป็นการกระทำไปในเชิงชู้สาว วันรุ่งขึ้นแทนที่จะพาผู้เสียหายกลับบ้านกลับพาไปอยู่ที่บ้านญาติของจำเลย จนบิดาผู้เสียหายตามไปพบ ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กหญิงเรณู อายุ 12 ปีเศษไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

จำเลยให้การรับว่าได้พรากเด็กหญิงเรณูไปจากบิดามารดาจริง แต่มิได้กระทำเพื่อการอนาจาร

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก จำคุก 3 ปี ปรับ 6,000 บาท ลดโทษตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม จำคุก 5 ปี ลดโทษตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยกับนายวันชัยและนายส่งเสริม พาผู้เสียหายเด็กหญิงบุญเฉลย และนางสาวพะเยาว์ ไปเที่ยวสวนสัตว์ลพบุรี ครั้นตอนเย็นได้พากันไปเช่าโรงแรมพักนอนค้างคืนโดยแยกเป็น 3 ห้อง จำเลยนอนกับผู้เสียหาย เด็กหญิงบุญเฉลยนอนกับนายวันชัยนางสาวพะเยาว์นอนกับนายส่งเสริม เป็นการพรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรปัญหาต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารด้วยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปีเศษ พาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงอายุ 12 ปี 11 เดือนเศษ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆครั้นตกตอนเย็นก็พากันเข้าพักนอนที่โรงแรมโดยจำเลยกับผู้เสียหายพักในห้องเดียวกันและนอนเตียงเดียวกันตามลำพังสองต่อสองนั้น ถึงแม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าระหว่างที่พักอยู่ที่โรงแรมนั้นจำเลยมิได้กอดจูบผู้เสียหาย เพียงแต่จับมือถือแขนเท่านั้นก็ตาม แต่ก็ได้ความจากคำของผู้เสียหายนั้นเองว่า เพื่อที่ไปเที่ยวด้วยกันและแยกพักที่โรงแรมกันคนละคู่นั้น แต่ละคู่ต่างเป็นคนรักกัน รวมทั้งตัวผู้เสียหายกับจำเลยก็เป็นคนรักกันด้วย ซึ่งเป็นการแสดงว่าการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเที่ยวและพากันมาพักที่โรงแรมนั้น เป็นการกระทำไปในเชิงชู้สาว ซึ่งเป็นการประพฤติตนที่ไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะจำเลยเป็นผู้มีภริยาแล้ว และผู้เสียหายก็มีอายุเพียง 12 ปี 11 เดือนเศษเท่านั้นทั้งในวันรุ่งขึ้นแทนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายกลับบ้าน กลับพาไปอยู่ที่บ้านญาติของจำเลยที่อำเภอโคกสำโรง จนกระทั่งบิดาผู้เสียหายตามไปพบ โดยพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว คดีฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยได้พรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร

พิพากษายืน

Share