แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกขอแสดงกรรมสิทธิ์และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์และครอบครองปรปักษ์กว่า 10 ปี ศาลชั้นต้นกะประเด็นว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ ดังนี้ ไม่มีประเด็นในฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินจดทะเบียนโดยสุจริต ศาลยกขึ้นวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1633 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา ส่วนจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 1845 ติดกับด้านใต้และด้านตะวันตกของที่ดินโจทก์บางส่วน ที่ดินทั้งสองแปลงอยู่แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2516 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองคัดค้านและชี้เขตที่ดินของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ประมาณ 200 ตารางวาตามรูปเส้นสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของมารดาจำเลยที่ 1 เป็นที่ดินมีโฉนดซึ่งมารดาได้ยกให้จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา 30 ปีแล้ว ระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยมีคูน้ำเป็นเขต
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกะประเด็นข้อพิพาทว่า
1) ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย
2) จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่
เมื่อพิจารณาคดีแล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์จดทะเบียนซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต แม้สิทธิของจำเลยทั้งสองผู้ได้มานั้นยังมิได้จดทะเบียน ก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น และพิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 500 บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสิทธิครอบครองให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยจะมาอ้างอำนาจการครอบครองปรปักษ์ใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอันได้กรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว สำหรับปัญหาว่า สิทธิของจำเลยทั้งสองผู้ได้ที่พิพาทมาซึ่งยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้หรือไม่นั้น ในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาได้พิจารณาคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว ฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1633 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองคัดค้านและชี้เขตที่ดินของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ประมาณ 200 ตารางวา ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทอยู่ในที่ดินมีโฉนดซึ่งมารดาจำเลยยกให้ และจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาเกิน 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้ว ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยจึงมิได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย ประเด็นข้อพิพาทของคดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย และฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาจนได้กรรมสิทธิ์ดังข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่ และคดีไม่มีประเด็นในเรื่องที่โจทก์ซื้อที่พิพาทไว้ โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อที่ไม่มีประเด็นขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 คู่ความจะยกปัญหานี้ขึ้นเป็นประเด็นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาหาได้ไม่ แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวให้ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาเกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382โจทก์จึงต้องแพ้คดี ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนในผลแห่งคดีที่ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาทแทนจำเลย