แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด142,900บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเกินไปกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย283,218บาท(คิดถึงวันฟ้อง)แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่9สิงหาคม2531เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นว่าลูกจ้างของโจทก์ทั้งสองมิได้ขับรถโดยประมาทหากแต่ลูกจ้างของจำเลยขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้รถชนกันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองรวม 283,218 บาท
จำเลยให้การว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 ปลอม โจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุ จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องเคลือบคลุม รถชนกันเพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างโจทก์ทั้งสอง และค่าเสียหายไม่เกิน 400 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 142,900 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2531ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 283,218 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 142,900 บาทแก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2531 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย283,218 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2531 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จเห็นว่า โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเกินไปกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์กระบะของจำเลยมิได้แล่นล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนน แต่รถยนต์โดยสารของโจทก์ทั้งสองแล่นล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนไปชนรถยนต์กระบะในช่องเดินรถของรถยนต์กระบะ ดังนั้น คนขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ทั้งสองย่อมเป็นฝ่ายประมาทเพียงฝ่ายเดียวโจทก์ทั้งสองฎีกาโต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแตกต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังเป็นว่า ลูกจ้างของโจทก์ทั้งสองมิได้ขับรถยนต์โดยสารโดยประมาทเป็นเหตุให้รถชนกัน หากแต่ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์กระบะด้วยความเร็วสูงแซงรถคันอื่นลำ้ เข้ามาในช่องเดินรถของรถยนต์โดยสารที่แล่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้แซงไม่พ้น และชนรถยนต์โดยสารดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายก ฎีกา ของ โจทก์ ทั้ง สอง