แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนที่โจทก์ขอให้นำโทษจำคุกของจำเลยซึ่งศาลรอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้นั้น คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 ให้รอกการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี แต่เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2544 อันเป็นเวลาก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะพิพากษาการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้จึงไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำลงภายในกำหนด 2 ปี ที่ศาลรอการลงโทษไว้ จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ได้เพราะขัดต่อ ป.อ. มาตรา 58 วรรคหนึ่ง การนำโทษจำคุกที่รอกการลงโทษไว้มาบวกได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 66, 67, 76, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนพร้อมซองกระสุนปืน และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลรอการลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5887/2544 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง ให้ใช้กฎหมายขณะกระทำความผิดซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 พระราบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (ที่ถูกฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต) จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 10 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนและซองกระสุนปืนของกลาง บวกโทษจำคุก 1 ปี 2 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5887/2544 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้ รวมจำคุก 7 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง เดิม 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ 26 วรรคหนึ่ง (เดิม) และ 76 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ความผิดในสองข้อหานี้จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกอุดม ศรีอนงค์ จ่าสิบตำรวจสุชาติ ตาลเลี้ยง และสิบตำรวจตรีสังคม ม่วงนาค เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมตรวจค้นได้ความว่า พยานทั้งสามกับพวกนำหมายค้นเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 182/3 หมู่ที่ 1 ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2544 เวลา 15 นาฬิกา ซึ่งตามสำเนาทะเบียนบ้านมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าบ้าน แต่ขณะนั้นจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านดังกล่าว คงพบแต่นายวิทูน กมลเดช นายนพรัตน์ สังข์ทอง และนายพลดนัย เต็มถุง อยู่ที่บ้านแจ้งว่ามาที่บ้านดังกล่าวเมื่อ 9 นาฬิกา และซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยมาเสพในราคาเม็ดละ 60 บาท หลังจากนั้นจำเลยออกจากบ้านไปก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะไปถึง จึงไปตามตัวนายอรุณศักดิ์ อยู่เกษม บุตรชายของจำเลยมานำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 51 เม็ด และเงินสด 4,900 บาท ในห้องเก็บของ กับพบกัญชาแห้ง 1 ห่อ กระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 6 นัด และซองกระสุนปืน 1 อันในห้องนอน เป็นเหตุให้มีการจับกุมนายอรุณศักดิ์นำส่งพนักงานสอบสวนพร้อมของกลาง พร้อมกับออกหมายจับจำเลยไว้ ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2544 จึงจับกุมจำเลยได้ที่บ้านดังกล่าวพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนและกัญชาอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้โดยได้ความจากร้อยตำรวจเอกอุดมว่าบ้านของจำเลยที่ตรวจค้นในวันเกิดเหตุ คือบ้านที่เคยเป็นร้านอาหารและค้นเพียงหลังเดียวเท่านั้น นายอรุณศักดิ์บอกว่าของกลางที่พบทั้งหมดเป็นของจำเลย และพยานปากนี้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าบ้านที่เกิดเหตุซึ่งถูกตรวจค้นคือบ้านหลังใหญ่ ส่วนบ้านหลังสีเขียวไม่ได้เข้าไปตรวจค้น ซึ่งตรงกับคำเบิกความตอบคำถามค้านของจ่าสิบตำรวจสุชาติและสิบตำรวจตรีสังคม แต่กลับได้ความจากนายวิทูน พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าในวันเกิดเหตุพยานไปถึงบ้านของจำเลยตั้งแต่เวลา 7 นาฬิกา เพื่อซื้อเมทแอมเฟตามีน ไปถึงพบจำเลย แต่ไม่ทันได้พูดคุยกันจำเลยก็ออกจากบ้านไป พยานจึงขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายอรุณศักดิ์บุตรชายของจำเลย จากนั้นนายอรุณศักดิ์ออกจากบ้านไปอีกคนหนึ่ง คงเหลือแต่พยานและเพื่อนของนายอรุณศักดิ์อีก 2 คน อยู่ที่บ้านจนกระทั่งเวลา 15 นาฬิกา จึงมีเจ้าพนักงานตำรวจมาบ้านของจำเลย โดยจำเลยไม่ได้กลับเข้ามาที่บ้านของตนอีกเลย นายอรุณศักดิ์ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้าน พบเมทแอมเฟตามีน 51 เม็ด ในห้องครัวซึ่งอยู่ด้านซ้ายของบ้าน และพบกัญชากับซองกระสุนปืนในห้องด้านขวา โดยในวันเกิดเหตุห้องทั้งสองไม่ได้ล็อกและจำเลยออกจากบ้านไปตั้งแต่เวลา 7 นาฬิกาเศษ แสดงให้เห็นว่าในวันเกิดเหตุหลังจากจำเลยออกจากบ้านไปแล้วไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง เจ้าพนักงานตำรวจจึงเข้าไปตรวจค้นโดยระหว่างนั้นมีบุคคลอื่นอยู่ในบ้านซึ่งมิได้ปิดล็อกประตูห้อง ดังนั้น บุคคลอื่น ๆ ย่อมสามารถเข้าออกได้โดยสะดวก โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยและเมทแอมเฟตามีนจำนวน 51 เม็ด ของกลาง การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านหรืออยู่อาศัยในบ้านที่เกิดเหตุแต่ได้ออกจากบ้านไปหลายชั่วโมงก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นเช่นนี้ย่อมไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนที่นายอรุณศักดิ์ให้การในชั้นจับกุมว่าของกลางทั้งหมดเป็นของจำเลยนั้น เห็นว่า เป็นเพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน ซึ่งในชั้นพิจาณานายอรุณศักดิ์ก็เบิกความอ้างว่าให้การไปตามที่จ่าสิบตำรวจสุชาติแนะนำ นอกจากนี้ในชั้นสอบสวนซึ่งได้กระทำต่อหน้าพนักงานอัยการ นักสังคมสงเคราะห์ ทนายความและบุคคลที่ผู้ต้องหาร้องขอ นายอรุณศักดิ์ก็ให้การไว้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้ง 51 เม็ด เป็นของตนซึ่งซื้อมาเพื่อเสพเองและแบ่งให้เพื่อน ๆ เสพ หาได้ระบุว่าเป็นของจำเลยไม่ ทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาในความผิดฐานนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ตามที่โจทก์ขอให้นำโทษจำคุก 1 ปี 2 เดือน ของจำเลยซึ่งศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5887/2544 ของศาลชั้นต้น มาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้นั้น เห็นว่า คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี แต่เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2544 อันเป็นเวลาก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะพิพากษา การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้จึงไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำลงภายในกำหนด 2 ปี ที่ศาลรอการลงโทษไว้ จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ได้เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และยกคำขอให้บวกโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1