คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5899/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและรอการลงโทษจำคุกไว้ เป็นการแก้ไขมาก แต่มิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยคดีของจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ฎีกาของจำเลยอ้างว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องเพราะยอดเงินตามใบส่งของและใบเสร็จรับเงินไม่ตรงกับยอดจำนวนเงินในเช็ค และ ป. กรรมการโจทก์ได้นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลย โดยได้มีการหักกลบลบหนี้กันระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระ พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องขัดกับในชั้นพิจารณาคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามกฎหมาย ล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวนมีใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องทั้งสองสำนวนแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 14 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยกระทงละ 5,000 บาท รวม14 กระทง เป็นเงิน 70,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า คดีของจำเลยทั้งสองสำนวนนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ เมื่อคดีทั้งสองสำนวนนี้ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 14 กระทง เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ2 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 4 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยกระทงละ 5,000 บาท รวม 14 กระทง เป็นเงิน 70,000 บาท อีกสถานหนึ่งโทษจำคุก ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง และรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้เป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและรอการลงโทษจำคุกนั้น มิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย คดีของจำเลยทั้งสองสำนวนนี้ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องเพราะยอดเงินตามใบส่งของและใบเสร็จรับเงินไม่ตรงกับยอดจำนวนเงินในเช็คและนอกจากนี้นายประมวลกรรมการโจทก์ได้นำเช็คจำนวน 15 ฉบับ (พิพาทคดีนี้มี 14 ฉบับ) ตามเอกสารหมาย ล.1 มาแลกเงินสดไปจากจำเลย โดยได้มีการหักกลบลบหนี้กันระหว่างโจทก์จำเลยแล้วเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องขัดกับในชั้นพิจารณา คดีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามกฎหมายนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share