แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหายมีรายละเอียดแห่งข้อหาแต่ละข้อตามฟ้องเกิดต่างวันต่างเวลากันทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุแตกต่างกันการนำสืบพยานหลักฐานต่างๆย่อมไม่สะดวกต่อการพิจารณาของศาลและการที่รถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยคันหนึ่งละเมิดชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหายก็มิได้หมายความว่ารถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้อีกคันหนึ่งจะต้องรับผิดต่อรถยนต์โดยสารของโจทก์คันอื่นด้วยเป็นการแสดงชัดแจ้งว่าข้อหาแต่ละอย่างตามฟ้องมิได้เกี่ยวข้องกันแม้จะเป็นมูลหนี้เรียกค่าเสียหายมีลักษณะประเภทเดียวกันก็ตามโจทก์จะนำมารวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนเรียกค่าเสียหาย อันเกิดจากรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้รวม 4 คัน ชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหายรวม 4 ค้นโดยรถยนต์แต่ละคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้เกิดเหตุชนกับรถยนต์โดยสารของโจทก์แต่ละคันต่างวันต่างเวลากัน โดยเรียกค่าเสียหายจากจำเลยรวมเป็นเงิน 22,013.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 19,314.70 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า มูลเหตุที่โจทก์นำมาฟ้องทั้งสี่รายมิใช่มูลหนี้ที่จะนำมาฟ้องรวมกันในคราวเดียวกันได้จึงมีคำสั่งคืนฟ้องให้โจทก์ทำมาใหม่ภายใน 7 วัน
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์นำมูลหนี้ตามฟ้องมารวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้หรือไม่โจทก์ฎีกาว่า ที่โจทก์นำมูลหนี้ทั้ง 4 ราย มารวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันนี้ เนื่องจากคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นรายเดียวกันทั้งเป็นมูลหนี้ประเภทเดียวกัน และแต่ละเรื่องอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นลำดับเดียวกันที่เกี่ยวกับที่จะพิจารณาคดีได้ หากนำมาฟ้องเป็นคดีเดียวกันแล้ว จะเป็นการสะดวกต่อการพิจารณาของศาล ไม่เสียเวลายุ่งยากต่อการดำเนินคดี และตรงวัตถุประสงค์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เห็นว่า มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหาย ซึ่งรายละเอียดแห่งข้อหาแต่ละข้อตามฟ้องเกิดต่างวัน ต่างเวลากัน ทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุแตกต่างกันการนำสืบพยานหลักฐานต่าง ๆ ย่อมไม่สะดวกต่อการพิจารณาของศาล และการที่รถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยคันหนึ่งละเมิดชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหายก็มิได้หมายความว่า รถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้อีกคันหนึ่งจะต้องรับผิดต่อรถยนต์โดยสารของโจทก์คันอื่นด้วย เป็นการแสดงชัดแจ้งว่า ข้อหาแต่ละอย่างตามฟ้องมิได้เกี่ยวข้องกัน แม้จะเป็นมูลหนี้เรียกค่าเสียหายมีลักษณะประเภทเดียวกันก็ตามโจทก์จะนำมารวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 29 วรรคแรก
พิพากษายืน