คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5897/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน จะฟ้องบุคคลภายนอกโดยอ้างสิทธิในกิจการซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนมิได้ โจทก์และ ส. กับพวกนำเงินไปเปิดบัญชีไว้ที่ธนาคารเพื่อดำเนินกิจการร่วมกันโดยไม่ได้จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน ส.เอาเงินของห้างหุ้นส่วนจ่ายให้จำเลยเพื่อแลกเช็คพิพาทจากจำเลยแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนี้ แม้การรับแลกเช็คนั้นจะเป็นกิจการของห้างหุ้นส่วน แต่เมื่อไม่ปรากฏชื่อของโจทก์ในกิจการนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ร่วมกับหุ้นส่วนของโจทก์ ดำเนินกิจการรับแลกเช็คจากจำเลย ต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ร่วมกับนายสงวน เชาว์สงวน นายวิโรจน์ พนารัตน์ และนายเสถียรมหาพฤกษ์พงษ์ นำเงินไปเปิดบัญชีไว้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสำนักงานใหญ่ และสาขาวรจักร เพื่อทำกิจการร่วมกัน คือ จัดงานแสดงสินค้า และหากมีเพื่อนของโจทก์หรือของหุ้นส่วนมากู้ยืมเงินก็จะให้ยืมไป โดยมิได้จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2526 จำเลยได้นำเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสนามเป้าลงวันที่ 21 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 32,000 บาท มาแลกเงินสดจากนายสงวน และต้นเดือนธันวาคม 2526 จำเลยนำเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาถนนพัฒนาการ-บางนา ลงวันที่ 20ธันวาคม 2526 จำนวนเงิน 25,000 บาท มาแลกเงินสดจากนายสงวนอีก เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด นายสงวนได้นำเข้าบัญชีที่เปิดร่วมกันเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่เช็คฉบับแรกถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2526 และเช็คฉบับหลังถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2526 หลังจากนั้นโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค แต่จำเลยไม่ชำระ
มีข้อที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในข้อที่ว่า จำเลยนำเช็คมาแลกเงินสดจากนายสงวนนั้นเป็นการแลกเงินจากห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์และคนอื่น ๆ กับนายสงวนหรือไม่ โจทก์มีนายอาทิตย์ ปาละสุวรรณผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความว่า นายสงวนได้เอาเงินจากบัญชีที่เปิดไว้ร่วมกันแลกเช็คจากจำเลย นายสงวนกับโจทก์และคนอื่น ๆ ได้นำเงินมาร่วมกันไปเปิดบัญชีดังกล่าวเพื่อทำกิจการร่วมกัน แม้โจทก์มีพยานเพียงปากเดียว และมิได้นำบัญชีเงินฝากที่อ้างว่าได้ร่วมกันเปิดบัญชีไว้มาแสดงดังที่จำเลยฎีกา แต่เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ขาดนัดพิจารณา และไม่ได้สืบพยานอย่างใดก็ย่อมฟังได้ตามนั้น ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1033 บัญญัติว่า ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนมิได้ตกลงกันไว้ในกระบวนจัดการห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมจัดการห้างหุ้นส่วนนั้นได้ทุกคน ฉะนั้นการที่นายสงวนเอาเงินของห้างหุ้นส่วนจ่ายให้จำเลยเพื่อแลกเช็คพิพาททั้งสองฉบับจากจำเลยจึงเป็นการรับแลกเช็คในกิจการของห้างหุ้นส่วน แต่อย่างไรก็ตามในปัญหาที่ว่าหุ้นส่วนคนอื่น ๆ จะมีอำนาจฟ้องร้องบุคคลภายนอกได้เพียงใดนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1049 บัญญัติว่าผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชื่อของโจทก์ในกิจการนี้แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามบทบัญญัติของกฎหมายมาตราดังกล่าวข้างต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share