แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลยนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักของโรงแรมไม่มีผู้ใดรู้เห็น เมื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยเบิกความโต้แย้งกันอยู่ จึงต้องฟังเหตุผลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบกัน เมื่อพนักงานโรงแรมเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเป็นผู้บริการเปิดม่านรูดให้โจทก์ร่วมและจำเลยขับรถเข้าไปจอดในโรงแรม และเปิดม่านรูดเมื่อรถยนต์ของโจทก์ร่วมและจำเลยจะออกไป จำเลยมิได้ร้องขอความช่วยเหลือประกอบกับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมมิได้ใช้กำลังบังคับหรือใช้อาวุธขู่เข็ญจำเลยเพราะจะร่วมประเวณี พฤติการณ์ดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยร่วมประเวณีกันโดยสมัครใจ เมื่อจำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลย จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,174, 177, 181, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายทวีเกียรติ ไชยกุล ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 174, 181 จำคุก 6 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 และ 181 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2529 เวลาประมาณ 21นาฬิกา โจทก์ร่วมกับจำเลยได้ร่วมประเวณีกันที่โรงแรมปิกนิกจังหวัดอุบลราชธานี ครั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2529 จำเลยไปร้องเรียนต่อนายสรชัย ต้นสมบูรณ์ ผู้บังคับบัญชาว่าถูกโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเรา ขอให้นายสรชัยเรียกโจทก์ร่วมมาพูดจาตกลงกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วม ต่อมาโจทก์ร่วมถูกฟ้องร้องดำเนินคดี แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1568/2529ของศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมจึงแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีนี้
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องทั้งสองข้อหานั้น สำหรับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 181 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์คู่ความจะฎีกาต่อไปไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อหาความผิดฐานแจ้งความเท็จ โจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยออกไปขายประกันด้วยกันตั้งแต่เช้าโดยใช้รถยนต์ปิกอัพของจำเลยเป็นพาหนะจำเลยเป็นคนขับตอนเย็นกินข้าวด้วยกัน และตอนค่ำชวนกันเข้าโรงแรมปิกนิกจำเลยยอมให้โจทก์ร่วมร่วมประเวณี ส่วนจำเลยเบิกความว่า หลังจากขายประกันเสร็จขณะจำเลยขับรถกลับบ้าน โจทก์ร่วมลวนลามจำเลยแย่งจำเลยขับรถแล้วบังคับรถเข้าโรงแรม จากนั้นโจทก์ร่วมได้ข่มขืนกระทำชำเราจำเลย เมื่อโจทก์ร่วมและจำเลยต่างเบิกความยันคำกันอยู่เช่นนี้ และเหตุการณ์ตอนนี้เกิดขึ้นในห้องพักของโรงแรมไม่มีผู้ใดรู้เห็น จึงต้องฟังจากเหตุผลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบกัน ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นคนขับรถยนต์ของจำเลยเอง เครื่องมือที่ใช้สำหรับบังคับให้รถยนต์แล่นไปได้หรือไม่ หรือไปในทิศทางใดล้วนอยู่ตรงที่นั่งของคนขับรถทั้งสิ้นหากจำเลยไม่ยินยอมแล้วไม่มีทางที่โจทก์ร่วมซึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปจะสอดเท้าหรือเอื้อมมือเข้ามาบังคับรถให้ไปตามใจโจทก์ร่วมได้โดยจำเลยอาจเหยียบห้ามล้อให้รถหยุดแล้วถอดกุญแจสำหรับติดเครื่องยนต์ออกเสีย แล้วลงจากรถไปพร้อมทั้งตะโกนเรียกให้คนช่วยก็ย่อมทำได้ แต่จำเลยหาได้ทำไม่นอกจากนี้ยังได้ความตามคำเบิกความของนายสุธี พาดี พนักงานของโรงแรมปิกนิกว่า ห้องพักของโรงแรมปิกนิกที่เกิดเหตุเป็นห้องพักชนิดที่มีม่านรูดปิดบังเมื่อรถยนต์เข้าไปจอดที่หน้าห้องแล้วและต้องมีพนักงานของโรงแรมเป็นคนมาเปิดและปิดม่านตลอดจนเปิดห้องพักให้อีกด้วย หากจำเลยไม่ยินยอมลงจากรถและไม่ยอมเข้าไปในห้องด้วย แล้วร้องบอกพนักงานของโรงแรมโจทก์ร่วมก็ไม่มีทางพาจำเลยเข้าไปในห้องได้ สำหรับเหตุการณ์สำคัญตอนที่โจทก์ร่วมจะร่วมประเวณีกับจำเลยนั้นลำพังโจทก์ร่วมอยู่กับจำเลยสองต่อสอง โจทก์ร่วมไม่ได้ใช้กำลังทำร้ายหรือใช้อาวุธขู่เข็ญจนจำเลยไม่สามารถขัดขืนได้แล้วไม่มีทางที่โจทก์ร่วมจะร่วมประเวณีกับจำเลยได้ คำเบิกความของจำเลยทุกขั้นตอนล้วนแต่ขัดต่อเหตุผลทั้งสิ้น นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสุธี พาดี มาเบิกความสนับสนุนว่า พยานเป็นผู้ทำหน้าที่บริกรอยู่ที่โรงแรมปิกนิก เมื่อรถยนต์ของจำเลยแล่นเข้ามาในโรงแรมพยานเป็นคนส่องไฟฉายนำทางให้ไปจอดที่ห้องหมายเลข 8 จากนั้นจึงปิดม่านแล้วเข้าไปเปิดไฟ เปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดประตูให้แขกเข้าไปพักในห้องต่อมาอีกประมาณ 30 นาที พยานได้ยินเสียงรถยนต์ติดเครื่องยนต์จึงไปเปิดม่านให้ถอยรถออก ไม่ปรากฏว่าจำเลยร้องขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลย รูปคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยกับโจทก์ร่วมร่วมประเวณีกันโดยสมัครใจ เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ร่วมมิได้ข่มขืนกระทำชำเราจำเลย แต่ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วม โดยกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ร่วมต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสอง, 181(1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 174 วรรคสอง, 181(1) กำหนดโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยเป็นหญิงหม้ายมีบุตรอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู 3 คน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนประกอบกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุอันควรปรานี เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี.