คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5886/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยติดต่อขอซื้อข้าวเปลือกจากผู้เสียหาย โดยขอชำระราคาด้วยเช็คที่ ว.เป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายให้ไว้ และจำเลยพูดรับรองว่าหากเช็คที่จำเลยมอบให้ขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชอบเองโดยจะขายนา 30 ไร่ ของจำเลยมาชำระราคาข้าวเปลือกให้แก่ผู้เสียหายจนครบ ดังนี้ การที่ผู้เสียหายยินยอมขายข้าวเปลือกตามฟ้องให้แก่จำเลยกับพวกโดยยอมรับเช็คซึ่ง ว.สั่งจ่ายไว้เพื่อการชำระราคาข้าวเปลือก ก็เพราะจำเลยเป็นผู้ให้คำรับรอง เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยกลับปฏิเสธความรับผิดไม่ยอมรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น อ้างว่าตนเป็นเพียงนายหน้าให้ ว.เท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงเพื่อเอาข้าเปลือกของผู้เสียหายทั้งสาม มีแผนการร่วมกับ ว.เจ้าของเช็ค โดยการให้คำรับรองด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้เสียหายมาแต่ต้น จนผู้เสียหายหลงเชื่อยอมมอบข้าวเปลือกให้แก่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฉ้อโกงโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนางวิลาวัลย์ สุขประสงค์ ซึ่งยังหลบหนีร่วมกันมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายรวม ๓ ราย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยกับนางวิลาวัลย์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงสีต้องการซื้อข้าวเปลือกโดยนางวิลาวัลย์จะเป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินสดเพื่อชำระราคาข้าวเปลือก ถ้าเช็คถึงกำหนดให้นำไปเบิกเงินสดได้ทันที และจำเลยพูดรับรองว่าถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยรับจะชดใช้ให้ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงจำเลยกับนางวิลาวัลย์ไม่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากของธนาคารอันจะทำให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค แต่มีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงเอาข้าวเปลือกของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ตกลงขายข้าวเปลือกให้แก่จำเลยกับพวกไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑,๙๑,๘๓ กับให้จำเลยกับพวกคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑,๙๑,๘๓ ให้จำคุกกรรมละ ๖ เดือน รวมสามกรรมเป็นจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน กับให้จำเลยร่วมกับพวกคืนหรือใช้เงินจำนวน ๔๔,๙๕๐ บาท แก่ผู้เสียหายที่ ๑ จำนวน ๑๒,๙๒๐ บาท แก่ผู้เสียหายที่ ๒ และจำนวน ๓๔,๒๖๕ บาทแก่ผู้เสียหายที่ ๓
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายทั้งสามเบิกความเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวเปลือกตามฟ้องจากผู้เสียหายทั้งสามด้วยตนเอง โดยเฉพาะนางชื้นผู้เสียหายที่ ๓ ซึ่งไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน จำเลยยังได้นำนายสี ศิริเพ็ง ญาติจำเลยมาช่วยพูดจาขอซื้อข้าวเปลือกด้วยการตกลงราคา การนัดคนงานมาตวง และขนข้าวเปลือกแม้กระทั่งการชำระราคาซึ่งจำเลยจ่ายเป็นเช็คของนางวิลาวัลย์ จำเลยก็เป็นผู้ดำเนินการและนำเช็คมาส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายทั้งสามด้วยตนเองด้วยและจำเลยยังได้พูดจารับรองต่อผู้ เสียหายทั้งสามด้วยว่า หากเช็คที่จำเลยมอบให้นั้นถึงกำหนดชำระเงินแล้วขึ้นเงินต่อธนาคารไม่ได้ จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชอบเองโดยจะขายนา ๓๐ ไร่ ของจำเลยมาชำระราคาค่าข้าวเปลือกให้แก่ผู้เสียหายจนครบ ผู้เสียหายที่ ๓ จะขอให้ชำระราคาเป็นเงินสดจำเลยก็บ่ายเบี่ยงว่าหมุนเงินไม่ทัน ผู้เสียหายทั้งสามหลงเชื่อคำรับรองของจำเลยจึงได้รับเช็คของนางวิลาวัลย์ไว้ด ต่อมาเมื่อเช็คของผู้เสียหายที่ ๑ ถึงกำหนดชำระเงิน ผู้เสียหายที่ ๑ จึงนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นต่อธนาคาร แต่ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ครั้นเมื่อผู้เสียหายที่ ๒ ที่ ๓ ทราบเรื่องดังกล่าวจึงพากันไปหาผู้เสียหายที่ ๑ ทั้งสามคนชวนกันไปพบจำเลยที่บ้าน เมื่อพบจำเลย จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมรับรู้และรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น และได้บอกด้วยว่าตนเองไม่มีนา ๓๐ ไร่ส่วนที่พูดรับรองไปนั้นเป็นการพูดเล่นเท่านั้นเอง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่ผู้เสียหายทั้งสามยินยอมขายข้าวเปลือกตามฟ้องให้แก่จำเลยกับพวกไป โดยยอมรับเช็คซึ่งนางวิลาวัลย์เป็นผู้สั่งจ่ายไว้เพื่อเป็นการชำระราคาค่าข้าวเปลือกนั้น ก็เพราะจำเลยเป็นผู้ให้คำรับรองว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน ผู้เสียหายทั้งสามจะได้รับเงินตามเช็คอย่างแน่นอน และหากเช็คดังกล่าวขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็จะรับผิดชอบขายนา ๓๐ ไร่ของจำเลยชดใช้ราคาให้ แต่ครั้นเมื่อเช็คถึงกำหนดผู้เสียหายไปขึ้นเงินไม่ได้ จึงพากันไปพบจำเลย ก็ถูกจำเลยปฏิเสธความรับผิด ไม่ยอมรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น และกลับอ้างว่าตนเป็นเพียงนายหน้านางวิลาวัลย์เท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต คิดหลอกลวงเพื่อจะเอาข้าวเปลือกของผู้เสียหายทั้งสามมีแผนการร่วมกับนางวิลาวัลย์เจ้าของเช็คโดยการให้คำรับรอง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้เสียหายทั้งสามมาแต่ต้น จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสามหลงเชื่อยอมมอบข้าวเปลือกตามฟ้องให้แก่จำเลยกับพวกไป ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทศักดา เปรมสง่า พนักงานสอบสวนคดีนี้ซึ่งเป็นพยานโจทก์ด้วยว่า นอกจากผู้เสียหายทั้งสามแล้วยังมีบุคคลอื่นอีกหลายรายถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงเช่นเดียวกัน และนางวิลาวัลย์ก็หลบหนีไปแล้วยังจับตัวไม่ได้ ผู้เสียหายทั้งสามและร้อยตำรวจโทศักดาพยานโจทก์ต่างไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยแต่อย่างใด คดีรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share