คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2484

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตำรวจสวมเครื่องแบบไปขู่บังคับเอาเงินเขาในเวลาออกยามนอกสถานที่ และนอกเขตต์ท้องที่ ๆ ประจำอยู่ไม่เป็นผิดกฎหมายอาญามาตรา 136 หลังจากอ่านคำพิพากษาแล้ว ศาลมีคำสั่งให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอื่น ดังนี้เป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ได้อ่านแล้ว ต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 190 +คำพิพากษาไม่ได้กล่าวให้นับโทษแต่เมื่อใดให้นับแต่วันต้องคุมขัง

ย่อยาว

ได้ความว่าจำเลยทั้ง ๓ สมคบกันพาตัวนายโซวบุ้นไปขู่เข็ญจะเอาเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๓ ผิดตามมาตรา ๒๖๘ กฎหมายลักษณอาญา ข้อหาฉะเพาะตัวจำเลยที่ ๑ เรื่องแจ้งความเท็จเห็นว่ายังไม่มีผิด ข้อหาสำหรับจำเลยที่ ๓ ว่าทุจริตต่อหน้าที่ด้วยนั้น เห็นว่าจำเลยประจำอยู่สถานีตำรวจสามเสน เหตุเกิดในท้องที่ยานนาวาซึ่งจำเลยไม่มีตำแหน่งหน้าที่ จึงยังไม่ผิดฐานเจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ หลังจากอ่านคำพิพากษาเรื่องนี้แล้ว ๒ วัน ผู้พิพากษาซึ่งลงนามในคำพิพากษานายหนึ่งได้มีคำสั่งในรายงานพิจารณาให้นับโทษจำเลยที่ ๑ นับแต่วันพ้นโทษอีกคดีหนึ่ง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ส่วนเรื่องการนับโทษจำเลยที่ ๑ เห็นว่าเป็นการสั่งแก้ไขคำพิพากษาซึ่งได้อ่านแล้ว จึงต้องห้าม ให้นับโทษแต่วันต้องขังคดีนี้ไปตามปกติ
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่กระทำผิดในท้องที่ตำรวจยานนาวานอกเขตต์นอกอำนาจหน้าที่ของจำเลย เพราะจำเลยประจำการอยู่สถานีสามเสน แม้ขณะกระทำผิดจำเลยจะสวมเครื่องแบบตำรวจไปด้วยก็ดีก็ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๖ กฎหมายลักษณอาญา ส่วนเรื่องการนับโทษจำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่าการสั่งเรื่องนี้ภายหลังจากได้อ่านคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว ซึ่งต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๐ ดังนี้การนับโทษคดีนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๗๒ ซึ่งให้นับแต่วันต้องขังคดีนี้ จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share